นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (11 ธ.ค.) ที่ระดับ 33.72 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดวันจันทร์ที่ผ่านมาที่ระดับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.95 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ) โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ได้ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 33.65-33.85 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทเผชิญแรงกดดันบ้าง ตามการทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะให้โอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ราว 86% ทว่าในปี 2568 ผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยไม่ถึง 3 ครั้ง ซึ่งน้อยกว่าที่เฟดได้เคยระบุไว้ใน Dot Plot เดือนกันยายน และเฟดอาจจบรอบการลดดอกเบี้ยในปี 2025 ได้
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ดังกล่าว ยังได้กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงทะลุโซน 151.50 เยนต่อดอลลาร์ ตามส่วนต่างบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่นที่กว้างมากขึ้น และเป็นอีกปัจจัยที่หนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี เงินบาทยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นอกจากนี้ เรามองว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทหลังจากทะลุโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ อาจได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการทยอยปิดสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาดบางส่วนได้
สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด โดยเฉพาะในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ โดย EIA ที่มักจะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น
และในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนพฤศจิกายน ที่มีแนวโน้มทยอยปรับตัวดีขึ้น หนุนโดยการทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แถวโซน 33.60-33.80 บาทต่อดอลลาร์ไปก่อน ในช่วงระหว่างวัน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ที่จะทยอยรับรู้ในช่วง 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
โดยเราประเมินว่า หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาตามที่ตลาดคาด เช่น +0.3%m/m ทั้งในส่วนของ Headline CPI และ Core CPI อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยลงต่อได้ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ ซึ่งอาจทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์สหรัฐฯ แกว่งตัว sideways ใกล้ระดับก่อนที่จะรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าวได้ (เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควรแล้ว almost fully priced-in)
ขณะที่หากอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ชะลอลงมากกว่าคาด (โอกาสเกิดน้อย) เช่น +0.2%m/m หรือน้อยกว่านั้น (ยิ่งมีโอกาสเกิดน้อยมาก) อาจเห็นผู้เล่นในตลาดมั่นใจมากขึ้นว่าเฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมเดือนธันวาคม และอาจเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้งในปี 2025 ได้ ทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์สหรัฐฯ มีโอกาสย่อตัวลงบ้าง หนุนทั้งราคาทองคำและเงินบาท
ทว่า หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาสูงกว่าคาด เช่น +0.35% ขึ้นไป (หรือมีการปัดเศษให้ถึงระดับดังกล่าว) จะส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดใหม่ และมีโอกาสที่ผู้เล่นในตลาดจะเริ่มมองว่ามีโอกาส 50-50 ที่เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม ทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์สหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้นต่อพอสมควรได้ กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลงหนัก ส่วนเงินบาทเสี่ยงอ่อนค่ากลับไปโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้
เราแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนของเงินบาทในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เนื่องจากสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) สามารถแกว่งตัวเกือบ +0.5%/-0.4% ได้ในช่วง 30 นาที หลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว