xs
xsm
sm
md
lg

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยส่องฐานข้อมูลเครดิตบูโร ชี้แนวโน้มหนี้เสียยังไม่ดีขึ้น กดดันสินเชื่อโตต่ำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
เปิดเผยว่า จากที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ข้อมูลสินเชื่อธุรกิจ จากฐานข้อมูลบัญชีลูกหนี้นิติบุคคล อันเป็นฐานข้อมูลสถิติที่ไม่ระบุตัวตนของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) จำนวนบัญชีเฉลี่ย 1.7-1.8 ล้านบัญชีต่อไตรมาส ด้วยข้อมูลจนถึงไตรมาส 2/2567 พบ 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
- คุณภาพของหนี้ธุรกิจไทยกลับมาถดถอยลงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 หลังหมดแรงส่งมาตรการช่วยเหลือทางการเงินช่วงโควิด-19
- ธุรกิจยิ่งเล็ก ปัญหาหนี้เสียยิ่งรุนแรง
- สถาบันการเงินทุกประเภทต่างเผชิญผลกระทบที่ชัดเจนมากขึ้น
- เมื่อเจาะกลุ่มปัญหาเรื้อรังพบว่า ระดับความรุนแรงของปัญหาหนักกว่าพอร์ตสินเชื่อธุรกิจโดยรวม และปัญหาหนี้ของธุรกิจขนาดเล็กและกลางน่าห่วงมากขึ้น
- ประเภทธุรกิจที่เผชิญปัญหาคุณภาพหนี้ คือ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่พักและอาหาร ค้าส่งค้าปลีก และภาคการผลิต ซึ่งสะท้อนปมปัญหาที่เกิดขึ้นจากโจทย์เฉพาะหน้าและปัญหาเชิงโครงสร้างที่รอทุกภาคส่วนร่วมแก้ไข

สำหรับปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีผลให้หนี้เอ็นพีแอล (ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป) ของธุรกิจหลักข้างต้นมีทิศทางที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คงหนีไม่พ้นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กดดันอำนาจซื้อ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น การแข่งขันกับทุนต่างชาติ รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป สงครามการค้าที่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานต่างๆ และเพิ่มกฎระเบียบทางการค้า ซึ่งย่อมจะมีผลกระทบทำให้มีสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศมาทุ่มตลาดในไทย (เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และเครื่องใช้ไฟฟ้า หลังจากที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ลดลง) และทำให้ภาคการผลิตในหลายผลิตภัณฑ์ต้องปรับลดกำลังการผลิตลง ดังนั้น ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นล้วนแล้วแต่กดดันรายได้และขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยให้เอาตัวรอดยากขึ้นในยุคที่โลกการค้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ หากรากของปัญหายังไม่ถูกแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ปี 2568 จะเป็นอีกปีที่จะเจอวังวนของปัญหาเดิม โดยปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพที่เพิ่มขึ้น แม้จะเป็นเป็นมาตรวัดลักษณะ Lagging Indicator แต่ทิศทางที่ยังไม่ดีขึ้น ย้ำผลกระทบของปัญหาที่สั่งสมมาหลากหลายประเด็นข้างต้น ซึ่งขมวดกลับไปที่ต้นเหตุของปัญหาคือ สภาพเศรษฐกิจและปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ต้องการการผลักดันและความต่อเนื่องของภาครัฐในการ ‘ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ’ เพื่อสร้างเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ๆ นอกเหนือจากการเสริมศักยภาพของตัวผู้ประกอบการ และมาตรการปรับโครงสร้างหนี้จากภาคการเงินเพื่อประคองปัญหาหนี้สินเฉพาะหน้า ดังที่ ธปท.และธนาคารพาณิชย์ได้ดำเนินการมาแล้ว และอาจสามารถดำเนินการเพิ่มเติมอีกในอนาคต เช่น การขยายเวลาการปรับโครงสร้างหนี้ให้ยาวขึ้นสำหรับกลุ่มที่มีปัญหา ควบคู่ไปกับมีมาตรการช่วยเหลือสถาบันการเงินเพื่อให้ไปช่วยเหลือลูกหนี้ในกรอบระยะเวลาที่ยาวขึ้น

และตราบใดที่ต้นเหตุของปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ปี 2568 จะเป็นอีกปีที่เราจะเผชิญกับปัญหาสินเชื่อใหม่ที่เติบโตต่ำท่ามกลางตลาดผู้กู้ที่มีศักยภาพในการชำระหนี้ที่จำกัดลง และหนี้ด้อยคุณภาพที่ยังจะมีทิศทางเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้ผู้ให้บริการสินเชื่อมีภาระในการดูแลหนี้เสียที่ยังสูง กระทบต่อความสามารถในการทำกำไร ขณะที่ผู้ประกอบการและครัวเรือนที่ประสบปัญหาเรื้อรังอาจต้องหันไปพึ่งหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น ซึ่งผลสำรวจของ สสว.ในไตรมาส 3/2567 ชี้ว่าธุรกิจเอสเอ็มอีพึ่งพาหนี้นอกระบบเพิ่มมากขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า

นอกจากนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำนวน 400 ตัวอย่าง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 ชี้ถึงความต้องการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการทางออกที่ยั่งยืนจากภาครัฐ นั่นคือ อันดับแรก การสนับสนุนเศรษฐกิจภาพรวม เพื่อให้เกิดผลดีต่อรายได้ของธุรกิจ (28.5%) อันดับที่สอง การจัดตั้งหน่วยงานเพื่อให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสและความสะดวกในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน (22.7%) ซึ่งสะท้อนความต้องการในการเพิ่ม Financial Literacy ของลูกค้าธุรกิจ อันดับที่สาม การช่วยเป็นตัวกลางในการเจรจากับเจ้าหนี้ เพื่อลดภาระหนี้/ปรับโครงสร้างหนี้ (22.0%) อันเป็นมาตรการประคองและต่อลมหายใจเฉพาะหน้า

ฝั่งความต้องการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่อสถาบันการเงิน จะเน้นใน 3 เรื่อง คือ การปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้ยอดผ่อนต่อเดือนสอดคล้องกับรายได้ การปรับเงื่อนไขและขั้นตอนการขอสินเชื่อ ตลอดจนการกำหนดค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับความเสี่ยงกับลูกค้าแต่ละราย ซึ่งในประเด็นหลังคือ Risk-Based Pricing ที่หากลูกค้ามีความเสี่ยงต่ำ ควรได้ดอกเบี้ยที่ต่ำลง แต่หากมีความเสี่ยงสูง ก็ควรถูกคิดอัตราดอกเบี้ยที่แพงขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น