นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 67 จะขยายตัวได้ 2.8% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกที่ดีกว่าที่คาด โดยคาดว่าทั้งปีจะโตได้ 4% มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 ของ กกร.
%YoY ปี 2567 ปี 2567 ปี 2567
(ณ ต.ค.67) (ณ พ.ย.67) (ณ ธ.ค.67)
GDP 2.2 - 2.72.6 - 2.8 2.8
ส่งออก 1.5 - 2.52.5 - 2.9 4.0
เงินเฟ้อ 0.5 - 1.00.5 - 1.0 0.5
ขณะที่ปี 2568 ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวได้ท่ามกลางความไม่แน่นอน โดยมีแรงส่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง และมาตรการภาครัฐทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวที่กำลังจะทยอยออกมา เช่น การช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย และกลุ่มผู้ประกอบการ SME การปรับกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปีเพื่อดึงดูดการลงทุน และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 68 ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าส่งออกหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ เม็ดพลาสติก และยางล้อ ที่ประชุม กกร. จึงขอเสนอให้ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกัน เตรียมความพร้อมรับมือเจรจาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้าและส่งออกกับสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า
* จับตานโยบาย "ทรัมป์ 2.0" สะเทือน ศก.-การค้าโลก
ที่ประชุม กกร. ยังประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2568 ว่า จะเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้า ภายหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และประกาศจะใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าเป็นนโยบายทางการค้า ทำให้ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2568 จะอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอน โดยมีโอกาสเติบโตได้ต่ำกว่า 3% ส่วนเศรษฐกิจจีนมีโอกาสเติบโตได้เพียง 4.0-4.5% ขณะที่อาจกระทบการเติบโตของประเทศในอาเซียนได้มาก ทั้งจากการส่งออกไปจีนที่จะลดลง การส่งออกโดยภาพรวมที่จะลดลง เนื่องจากถูกทดแทนด้วยสินค้าจีน และการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัว
พร้อมคาดว่ามาตรการทางด้านภาษีจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2568 เป็นต้นไป ซึ่งนโยบาย Trump 2.0 จะไม่จำกัดเฉพาะสินค้าจากจีนเท่านั้น แต่จะเป็นการเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าจากทุกประเทศ โดยอาจจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 60% และจากประเทศอื่นๆ เป็น 10-20% รวมถึงจะใช้การเก็บภาษีเป็นนโยบายในการต่อรองกับคู่ค้า เช่น เม็กซิโก แคนาดา และกลุ่ม BRICS ซึ่งการขึ้นภาษีกับจีนอาจเกิดขึ้นได้เร็ว โดยเฉพาะกับสินค้าที่สหรัฐฯ เคยเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในช่วง Trump 1.0
* ประเมินความเสียหายน้ำท่วมเหนือ-อีสาน-ใต้ ราว 8-8.5 หมื่นล้านบาท
นายสนั่น กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นทั้งในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า ม.หอการค้าไทย ได้ประเมินความเสียหายไว้ประมาณ 75,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.5% ของ GDP ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ถือว่าเป็นหนึ่งในภัยพิบัติที่เกิดขึ้นรวดเร็วและรุนแรงเช่นกัน เบื้องต้น พบว่าหากสถานการณ์คลี่คลายได้เร็ว น่าจะมีมูลค่าความเสียหาย ประมาณ 5,000-10,000 ล้านบาท หรือประมาณ 0.03-0.06% ของ GDP โดยพื้นที่ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด รวมถึงย่านการค้าสำคัญของ จ.สงขลา
"หากรวมความเสียหายของน้ำท่วมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ น่าจะมีความเสียหายราว 80,000- 85,000 ล้านบาท หรือประมาณ 0.6% ของ GDP" นายสนั่น ระบุ