อัยการเกาหลีใต้เดินหน้ายึดบิทคอยน์จากขบวนการต้มตุ๋น หลอกลวงลงทุนคริปโต โดยเน้นเหยื่อที่เป็นผู้สูงอายุ ที่เคยต้องคดีหรือถูกตัดสินว่ามีความผิดโดยมุ่งเป้าไปที่ผู้สูงอายุและผู้แปรพักตร์จากเกาหลีเหนือ
ตามที่ สำนักข่าวเอเซีย กุงแจ ของเกาหลีเหนือรายงานว่าแผนกอายัดทรัพย์ของกลางจากอาชญากรรม ของสำนักงานอัยการเขตกลางกรุงโซล เปิดเผยเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนว่า ได้ "ยีดทรัพย์สิน" มูลค่ากว่า 9.3 ล้านดอลลาร์ โดยในรายการที่ยึดได้นอกจากบิทคอยน์แล้วยังรวมไปถีง รถยนต์ซุปเปอร์คาร์นำเข้าราคาแพง นาฬิกาหลายเรือน รวมถึงงานศิลปะราคาแพง นาฬิกาดีไซเนอร์รุ่นผลิตจำนวนจำกัด รวมไปถึง “ค่าสมาชิกรีสอร์ท” หุ้นที่จดทะเบียน และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้ แผนกอายัดทรัพย์สินยังยึดอสังหาริมทรัพย์ ของชายคนดังกล่าวด้วย ซึ่งประกอบด้วยอพาร์ทเมนต์ระดับเพนท์เฮาส์ อาคารพาณิชย์ และพื้นที่ทำงานและที่พักอาศัยอเนกประสงค์
อย่างไรก็ตามทางอัยการไม่ได้ระบุชื่อผู้ฉ้อโกง แต่ผู้กระทำผิดดังกล่าวได้รับการตัดสินเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าดำเนินการฉ้อโกงสกุลเงินดิจิทัลในรูปแบบการตลาดแบบหลายระดับ ซึ่งศาลตัดสินให้เขาจำคุก 10 ปี และปรับเงินประมาณ 13,000 ล้านวอน (9.3 ล้านดอลลาร์) เมื่อต้นปีนี้
ขณะที่ทางฟากของสื่อมวลชน รายงานเพิ่มเติมว่า ชายคนดังกล่าวปฏิเสธที่จะจ่าย “ค่าปรับแม้แต่เหรียญวอนเดียว” แม้ว่า “เหยื่อบางรายต้องสูญเสีย” เงินออมทั้งหมดให้กับแผนการหลอกลวงของเขาก็ตาม
ขณะที่ในรายงานระบุว่าเขาบอกกับศาลว่าเขา “ไม่เสียใจ” ต่อการกระทำที่เป็นอาชญากรรมของเขา “แม้แต่ 0.01%” เพราะว่า “ครอบครัวของเขาสามารถใช้ชีวิตอย่างดีได้เพราะเหตุนี้”
อัยการกล่าวว่าอดีตภรรยาและลูก ๆ ของชายคนดังกล่าว ยังคงอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์หรูหรา “มูลค่าหลายพันล้านวอน” หลังจากที่เขาถูกจับกุม โดยพวกเขาบอกว่าเธอใช้เงินของเขาเพื่อจ่ายค่า “การเรียนพิเศษส่วนตัวราคาแพง” ให้กับลูก ๆ ของพวกเขาด้วย เธอยัง “ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา” ซื้อสินค้าราคาแพง และ “กำลังเตรียมตัวอพยพไปแคนาดาด้วยซ้ำ”
ทั้งนี้ เงินทุนที่เธอใช้ดูเหมือนว่าจะมาจากกลโกงในแผนการหลอกลวงลงทุนคริปโตของชายคนดังกล่าวเป็นหลัก ซึ่งเขาดำเนินการตั้งแต่ปี 2562 ถึงปี 2564
อัยการกล่าวว่าเขาพยายามปกปิดทรัพย์สินต่างๆ รวมถึงรถยนต์โรลส์-รอยซ์และลัมโบร์กินี หุ้น บิทคอยน์ สกุลเงินต่างประเทศ และเงินฝาก โดยลงทะเบียนภายใต้ชื่อของบุคคลอื่น
นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่าชายคนดังกล่าวยังตั้งบริษัทปลอมขึ้นมาเพื่อช่วยซ่อนทรัพย์สินด้วย
“การยึดคืนทรัพย์สินที่ได้มาโดยผิดกฏหมายจากอาชญากรรมถือเป็นการบรรลุความยุติธรรมขั้นสุดยอด และเป็นขั้นตอนแรกในการป้องกันอาชญากรรม เราจะพยายามกอบกู้ผลประโยชน์ทั้งหมดคืนมา เพื่อไม่ให้ผู้กระทำความผิดได้เงินแม้แต่สตางค์เดียวจากการก่ออาชญากรรม” สำนักงานอัยการเขตกลางกรุงโซลกล่าว