LSS ในเครือ LPP เดินหน้ารุกธุรกิจรักษาความปลอดภัย หลังแนวโน้มตลาดขยายตัวสูง ผลดำเนินงานขยายตัวตัวต่อเนื่อง ส่งผลรายได้ LSS ครองสัดส่วนรายได้รวมของกลุ่มบริษัท LPP กว่า 30% หรือมีรายได้กว่า 345 ล้านบาทในปี 67 เติบโตจากปี 66 กว่า 23% วางเป้าปี 68 รายได้โต 10% หรือมีรายได้รวม 400 ล้านบาท ชี้การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่มีระยะเวลาแน่นอนอุปสรรคสำคัญการขยายพอร์ตรับงานใหม่ ด้าน LPP ปีนี้รายได้โตกระฉูดแตะ 1,700 ล้านบาท คาดปีหน้ารายได้ 2,000 ล้านบาท
นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอลพีพี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเม้นท์ จำกัด หรือ LPP กล่าวว่า ในช่วง 3 ปีนับจากปี 64 ถึงปี 67 บริษัทมีอัตราการเติบโตของรายได้ขยายตัว 100% จากเดิมที่มีรายได้ในปี 750 ล้านบาทในปี 64 โดยในปี 67 นี้คาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,700 ล้านบาท และจะขยายตัวเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาทในปีหน้า โดยรายได้หลักของ LPP ยังคงมาจากธุรกิจรับบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ บริหารนิติบุคคล บริหารการขาย ขณะเดียวกัน ก็มีรายได้ใหม่เพิ่มเข้ามาจากกลุ่มธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจรักษาความปลอดภัย (รปภ.) และแม่บ้านภายใต้บริษัทในเครือ LSS ธุรกิจคุมงานก่อสร้างและรับเหมาก่อสร้างภายใต้บริษัท LPS และธุรกิจรับเหมางานระบบไฟฟ้า และประปา ภายใต้บริษัท PWG
ทั้งนี้ การเกิดขึ้นของบริษัท LSS, LPS และ PWG เป็นการเติมเต็มให้ธุรกิจของ LPP ให้เป็นธุรกิจบริหารการขายและบริหารนิติบุคคลอย่างครบวงจร ซึ่ง 3 ธุรกิจดังกล่าวล้วนแต่เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับเทรนด์ตลาดในอนาคต โดยเฉพาะธุรกิจรักษาความปลอดภัยซึ่งมีแนวโน้มการขยายตัวสูง โดยตลาดรวมธุรกิจรักษาความปลอดภัยนั้นมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 50,000 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวอยู่ราว 8-9% ต่อปีซึ่งเป็นสการขยายตัวล้อไปกับตลาดอสังหาฯ
โดยปัจจุบันผลการดำเนินงานของ LSS ในปี 67 มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถครองสัดส่วนรายได้รวมของกลุ่มบริษัท LPP อยู่ที่ประมาณ 30% หรือคิดเป็นรายได้รวมของ LSS ในปีนี้ประมาณ 345 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 66 ที่ผ่านมา 23% ที่มีรายได้ประมาณ 280 ล้านบาท และคาดการณ์ในปี 68 LSS จะมีรายได้รวมประมาณ 400 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีนี้ประมาณ 10% ตามแนวโน้มความต้องการในบริการของผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น
อ่ยางไรก็ตาม แม้ว่าแนวโน้มการขยายตัวของธุรกิจรักษาความปลอดภัยจะดีมาก แต่ LSS ยังไม่มีแผนจะเร่งขยายการรับงานเพิ่มมากจนเกินไป เนื่องจากยังมีปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง คือการาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ไม่มีทิศทาง และระยะเวลาที่ชัดเจน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ และต้นทุนของบริษัท และอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจ เนื่องจากธุรกิจรักษาความปลอดภัยมีต้นทุนหลัก คือ บุคลากรและค่าจ้าง ดังนั้นหากมีการปรับขึ้นค่าแรงตามนโยบายของรัฐบาลโดยไม่เป็นไปตามกลไกตลาด และไม่มีระยะเวลาในการปรับขึ้นค่าแรงที่แน่ชัดจะมีผลต่อการรายได้และกำไรของธุกริจรักความปลอดภัยได้
“ธุรกิจรักษาความปลอดภัยจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3-5% ขณะที่ต้นทุนหลักคือค่าจ้างบุคลากร หากมีการปรับขึ้นค่าแรง โดยที่ไม่มีระยะเวลาการปรับขึ้นที่แน่นอน เมื่อมีการเซ็นสัญญาจ้างงานในต้นทุนเดิม แล้วมีการปรับขึ้นค่าแรงภายหลังจะทำให้บริษัทขาดทุนทันที เพราะการปรับขึ้นค่าแรงแต่ละครั้งทำให้ต้นทุนแรงงานปรับตัวเพิ่มกว่า 10% ดังนั้นส่วนต่างที่เหลือบริษัทต้องเป็นผู้แบกรับไป”
นายธำรงค์พล แดงบุบผา กรรมการผู้จัดการบริษัทรักษาความปลอดภัยแอลเอสเอสโซลูชั่นส์ จำกัด หรือ LSS กล่าวว่า ปัจจุบัน LSS มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของงานบริการโดยได้พัฒนา Digital Platform และระบบ NFC Device (Near Field Communication) สำหรับจุดตรวจดูแลรักษาความปลอดภัยที่สามารถรายงานผลได้แบบ Real-Time และยังมีระบบ Next Gen CCTV และ IoTที่ประสานการทำงานร่วมกันในจุดเสี่ยงที่สำคัญหรือจุดวิกฤตที่ต้องการเฝ้าระวังแบบ 24/7 พร้อมแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินแบบทันทีผ่าน “ศูนย์ปฏิบัติการเหตุฉุกเฉิน
(Emergency Operations Center : EOC)”
ศูนย์กลางการจัดการเหตุฉุกเฉินประสานจัดการและรวมศูนย์ข้อมูลด้วยเทคโนโลยี Data Visualization ในรูปแบบการปฏิบัติงานแบบ Command Centerทที่พร้อม Monitoring และแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินและจัดการเหตุฉุกเฉินตามระดับความสำคัญ (SLA) พร้อมประสานกับทีมพันธมิตรรอบด้านและหน่วยงานต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยทุกการแจ้งเตือนจะต้องมีเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมเหตุการณ์ระงับเหตุและปิดเคสทุกเคสได้ 100% อีกทั้ง LSS มีทีมงานที่มีพื้นฐานทางวิศวกรรมจึงสามารถช่วยให้การแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดในงาน EOC ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ LSS ไม่พียงแต่เป็นผู้ให้บริการด้านการดูแลความปลอดภัยแต่ยังให้การดูแลในเรื่องความสะอาด (Security & Cleaning Solutions) และบริการอื่นๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบาย (Soft Service) เช่น การดูแลสวน งานรักษาความสะอาดเฉพาะด้านอย่างการโรยตัวทำความสะอาดอาคาร โดยให้บริการครอบคลุมทั้งโครงการที่อยู่อาศัยอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล โรงแรม โรงเรียน โรงงาน และหน่วยงานราชการมากกว่า 150 โครงการ
ทั้งนี้ ด้วยยุคสมัยที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เทรนด์ Smart Security ส่งผลต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปความปลอดภัยจึงจำเป็นที่ต้องยกระดับการดูแลให้มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมทุกธุรกิจและยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กรของลูกค้าได้ มีมูลค่าในมุมมองของผู้เข้าใช้บริการมากขึ้น โดยปัจจุบันรายได้ของ LSS แบ่งสัดส่วนออกเป็นบริการรักษาความปลอดภัย 68% บริการดูแลรักษาความสะอาด 26% และบริการอื่นๆ 6%.