นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตลาดต่างๆ จะยังคงเผชิญกับแรงกดดัน เนื่องจากนักลงทุนเริ่มประเมินโพสิชันการลงทุนอีกครั้ง หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10%
นักวิเคราะห์คาดว่าสกุลเงินในเอเชีย เช่น เงินวอนของเกาหลีใต้และเงินบาทของไทย ซึ่งถูกมองว่าเป็นตัวแทนที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อจีนนั้น มีแนวโน้มที่จะทำผลงานย่ำแย่ นอกจากนี้ คาดว่าตลาดหุ้นจีน เม็กซิโก และแคนาดา อาจจะปรับตัวลงด้วย โดยเฉพาะตลาดหุ้นของประเทศที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก
แอนดรูว์ ไทซ์เฮิร์สต์ นักกลยุทธ์อาวุโสด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากบริษัทโนมูระ (Nomura) ในนครซิดนีย์ กล่าวว่า "กระแสข่าวเกี่ยวกับมาตรการภาษีของทรัมป์ได้ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อทั่วโลก ทั้งยังสร้างความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และเพิ่มความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ปฏิกิริยาแรกในตลาดคือสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นักวิเคราะห์คาดว่ามาตรการภาษีของทรัมป์ยังอาจส่งผลกระทบต่อสกุลเงินเอเชีย โดยซอง กียง นักกลยุทธ์อาวุโสจากธนาคารโซซิเอเต้ เจเนเรล (Societe Generale) ในฮ่องกง กล่าวว่า "แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะทยอยเก็บภาษีทั้งในแง่ของอัตราและขอบเขต แต่ในมุมมองของเรานั้น ตลาดมักจะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของภาษีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เรายังคงเชื่อว่าสกุลเงินในกลุ่มตลาดเกิดใหม่จะได้รับผลกระทบที่แตกต่าง โดยจะขึ้นอยู่กับระดับภาษีการค้าของแต่ละประเทศ และคาดว่าเงินหยวนจะทำผลงานย่ำแย่กว่าสกุลเงินอื่นๆ ในกลุ่มตลาดตลาดเกิดใหม่ของเอเชีย"
ราจีฟ เดอ เมลโล ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอระดับโลกจากบริษัท กามา แอสเซต แมเนจเมนต์ เอสเอ (Gama Asset Management SA) กล่าวว่า "ผมคาดว่าหุ้นจีนจะได้รับแรงกดดันเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากเวลาของการประกาศขึ้นภาษีการค้าจีนนั้น เกิดขึ้นรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และคาดว่าทรัมป์อาจจะไม่รอจนถึงวันเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง"