น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "ประเทศไทย : โอกาส-ความหวัง-ความจริง" โดยระบุว่า จากการเดินทางไปประชุมประเทศต่างๆ ต่างชาติแสดงความสนใจลงทุนในประเทศไทย ซึ่งหากการเมืองไทยมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น นักธุรกิจและต่างชาติจะมั่นใจในการลงทุน ซึ่งตนมีหน้าที่ไปบอกทุกคนถึงความเชื่อมั่นในจุดนี้ ว่ารัฐบาลจะสามารถอยู่จนครบเทอมจนมีการเลือกตั้งได้ และจะเดินหน้านโยบายที่ประกาศไว้ไม่ให้สะดุด
รัฐบาลพยายามสร้างโอกาสที่จับต้องได้ให้ประชาชน เพราะมองเห็นศักยภาพของคนไทยที่มีอยู่สูง แต่บางทีเข้าไม่ถึงโอกาส โดยสิ่งที่รัฐบาลจะทำเป็นอย่างแรก คือ กระตุ้นเศรษฐกิจให้คนไทยกินอยู่สบาย เพราะถ้าปากท้องอิ่มแล้ว ศักยภาพในตัวจะออกมา ยืนยันเราจะขยายโอกาสให้มากที่สุด เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ สูงกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ ซึ่งมาจากการลงทุนภาครัฐ และตัวเลขนักท่องเที่ยวที่พุ่งไปถึง 36 ล้านคน มากกว่าปีที่ผ่านมา 28% เป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 ที่หายไป มาตรการฟรีวีซ่า และรัฐบาลจะเร่งผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สมาร์ทแอร์พอร์ต และปีหน้าคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะสูงกว่าที่มีการตั้งเป้าไว้
ขณะที่การเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ได้ประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่ามาตรการทางเศรษฐกิจจะพุ่งเป้าไปประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุล ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในนั้น เพราะ GDP ของประเทศไทยขึ้นอยู่ที่การส่งออก 60% ในจำนวนนี้มีสัดส่วนไปตลาดสหรัฐฯ 10% ถือว่ามากที่สุด เราจะเตรียมมาตรการรองรับว่าจะปรับสมดุลอย่างไรไม่ให้ประเทศต้องเสียโอกาส
ในส่วนของประเทศจีน ที่มองกันว่าไทยอาจจะสู้เรื่องการผลิตของเขาไม่ได้นั้น รัฐบาลจะใช้มาตรการด้านภาษีและกฎหมายที่มีอยู่ เพื่อช่วยการค้าขายออนไลน์ รวมถึงผู้ประกอบการ SMEs ไทย และหากมองภาพรวมประเทศจีน พื้นที่การเกษตรยังมีไม่เพียงพอกับความต้องการในประเทศ จึงจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าการเกษตรจากประเทศอื่น ซึ่งไทยเองนับว่ามีจุดแข็งตรงนี้ ดังนั้นต้องมาช่วยทำให้เกษตรกรไทยแข็งแรงมากขึ้น นำเทคโนโลยีถนอมอาหารเข้ามาช่วยเสริมตรงนี้
พร้อมกันนี้ จะต้องหาเม็ดเงินใหม่ๆ เข้าประเทศ โดยการดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามา ซึ่งมี 3 แนวทาง คือ
1.เรื่องอาหารของไทยที่มีความแข็งแรง ทุกคนมองไทยเป็นครัวโลก เราจะนำเทคโนโลยีถนอมอาหารเข้ามาช่วยส่งเสริม เพื่อให้อาหารไทยสามารถส่งออกไปโดยที่คุณภาพยังเหมือนเดิม
2.อุตสาหกรรมเกี่ยวกับสุขภาพ จากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ที่พัฒนามาเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งทั่วโลกยอมรับ และอยากทำตาม การรักษาพยาบาลในประเทศไทยมีชื่อเสียงในต่างประเทศ หลายคนอยากเข้ามารับการรักษา ดังนั้นต้องร่วมกันพัฒนาให้ไทยเป็นฮับด้านสุขภาพ ต้องทำให้ทั่วโลกคิดว่าอยากรักษาสุขภาพ ต้องมาที่ประเทศไทย
3.เรื่องซอฟต์เพาเวอร์ ไทยมีวัฒนธรรมที่ต่างชาติให้ความสนใจ โดยได้พยายามผูกทุกเทศกาลเข้าไว้ด้วยกัน และให้ต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวได้ทั้งปี เพื่อให้ใช้เวลาอยู่ในเมืองไทยนานขึ้น และใช้เม็ดเงินในไทยมากขึ้น อีกอย่างที่ต่างชาติให้การสนใจ คือ การใช้ไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งปีที่ผ่านมา มีเม็ดเงินเข้ามาในประเทศถึง 190 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรัฐบาลให้การสนับสนุนเพื่อจะได้ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ อีกทั้งต่างชาติยังชื่นชอบในหนังไทย เช่น เรื่องหลานม่า รวมถึงมวยไทยก็เป็นที่ชื่นชมในต่างประเทศ ประเทศอังกฤษมีค่ายมวยกว่า 40,000 ค่าย
"เราจะผลักดันตรงนี้ เพื่อสร้างรายได้ให้คนไทย และรัฐบาลพยายามจะสร้างฮีโร่ในทุกอุตสาหกรรมซอฟต์เพาเวอร์ เพื่อไปคุยกับใครเราจะภูมิใจ เวลาไปคุยกับใครทั่วโลกว่าประเทศไทยมีคนเก่ง" นายกรัฐมนตรี กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องพลังงาน เช่น ในอ่าวไทย มีการประเมินว่าปริมาณก๊าซจะใช้ได้อีก 10 ปี และจะหมดไป ฉะนั้นอย่างที่เป็นกระแสกันอยู่ในเรื่อง MOU44 ที่เราจะคุยกับกัมพูชา เราต้องคุยกันว่าเราจะแบ่งใช้ก๊าซธรรมชาติร่วมกันอย่างไร ซึ่งทำให้เราต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อพูดคุย นอกจากนี้ รัฐบาลยังสนับสนุนเรื่องพลังงานสะอาดด้วย
น.ส.แพทองธาร กล่าวในตอนท้ายว่า ในวันที่ 12 ธ.ค.67 จะมีการแถลงสิ่งที่ได้ดำเนินการมาแล้วใน 90 วัน ของรัฐบาลชุดนี้ รวมทั้งจะมีนโยบายดีๆ ในอนาคต และมาตรการของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชนด้วย