การประกาศผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ได้รับการตอบรับจากตลาดหุ้นในทันที โดยดัชนีหุ้นที่กำลังซึมลงพุ่งทะยานขึ้น 2 วันติด แต่ปฏิกิริยาตอบรับในเชิงบวกเริ่มอ่อนแรงแล้ว
สภาพัฒน์แถลงตัวเลขจีดีพีไตรมาสที่ 3 เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เติบโต 3% สูงกว่าความคาดหมายของนักวิเคราะห์ และสูงกว่าไตรมาสที่ 2 ซึ่งจีดีพีโต 2.2% ทำให้คาดว่า จีดีพีปีนี้จะโต 2.6% ตามที่สภาพัฒน์ประมาณการไว้
ตลาดหุ้นที่กำลังอยู่ในช่วงปรับฐานลงคึกคักขึ้นทันที โดยวันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายนดีดตัวขึ้น 10.15 จุด ขึ้นมายืนที่ 1452.78 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นสุทธิ 1,685 ล้านบาท
วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน หุ้นยังวิ่งต่อ โดยระหว่างชั่วโมงซื้อขายพุ่งขึ้นประมาณ 18 จุด ก่อนอ่อนตัวลง และดัชนีปิดการซื้อขายที่ 1,460.11 จุด เพิ่มขึ้น 7.33 จุด ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขาย 464 ล้านบาท
ตัวเลขจีดีพีไตรมาสที่ 3 ซึ่งเติบโตเหนือความคาดหมาย ดูเหมือนจะเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมา โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศซึ่งกลับมาซื้อหุ้นทันที
เพราะเชื่อกันว่า จีดีพีไตรมาสที่ 4 ยังเติบโตสูงอยู่ เนื่องจากการลงทุนภาครัฐและการใช้จ่ายเงินงบประมาณภาครัฐที่มีอัตราเร่งขึ้น และเป็นเหตุผลสำคัญที่ผลักดันจีดีพีไตรมาสที่ 3
แต่การที่ต่างชาติกลับมาขายหุ้นอีกครั้ง เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า นักลงทุนต่างชาติไม่ได้ตื่นเต้นกับตัวเลขจีดีพีไตรมาสที่ 3 มากนัก ไม่ได้ขนเงินกลับมาลงทุนต่อเนื่อง แต่อาจทยอยขายหุ้น ถอนทุนกลับสหรัฐฯ ต่อไป และขายหุ้นออกไปแล้ว 1.32 แสนล้านบาทนับจากต้นปี
ถ้าฝรั่งไม่กลับมาตลาดหุ้นไทยคงไปไหนไม่ไกล เพราะกองทุนวายุภักษ์เริ่มซื้อหุ้นอย่างจำกัด ไม่ลุยซื้อเหมือนช่วงแรกเมื่อเดือนตุลาคม
และแม้จะมีกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนหรือกองทุน TESG ที่กำลังจัดตั้ง โดยคาดว่า เงินจะเข้ามาประมาณต้นเดือนธันวาคมนี้ แต่วงเงินลงทุนอาจต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งไม่มากพอที่จะพลิกตลาดหุ้นกลับสู่ขาขึ้นเต็มตัว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ ไม่ได้ฝันถึงตลาดหุ้นปีนี้มากนัก ไม่ได้มองว่า ดัชนีหุ้นจะวิ่งไปไกลเกิน 1ป500 จุดในสิ้นปี เพราะไม่มีปัจจัยใหม่กระตุ้น ตัวเลขจีดีพีไตรมาสที่ 3 นักลงทุนซึมซับรับข่าวดีไปแล้ว
ตัวเลขจีดีพีแต่ละไตรมาสที่เติบโตต่อเนื่องในปีนี้ ไม่ได้ช่วยทำให้ประชาชนรู้สึกว่า เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นแต่อย่างใด ทุกคนยังสัมผัสได้กับภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาสุดขีด
สำหรับนักลงทุนกำลังรอการรวบรวมตัวเลขผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ไตรมาสที่ 3 ปีนี้ ซึ่งคาดว่า ไม่เกินสัปดาห์หน้า ตลาดหลักทรัพย์ฯ คงแถลงตัวเลขผลกำไรบริษัทจดทะเบียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่แน่ใจว่าผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กว่า 600 บริษัท จะเติบโตตามจีดีพีหรือไม่
ถ้าผลกำไรบริษัทจดทะเบียนชะลอตัว จะย้อนแย้งกับตัวเลขจีดีพีที่เติบโตขึ้น และอาจทำลายความเชื่อมันของนักลงทุนในแนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
เหลือเวลาอีกเดือนเศษ ตลาดหุ้นจะปิดฉากปี 2567 ซึ่งบรรยากาศการลงทุนช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้คงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น นอกจากประคับประคองตัวในกรอบ 1,450-1ป500 จุด และไปลุ้นกันปีหน้าว่าประเทศไทยจะมีอะไรใหม่หรือไม่
เศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นหรือไม่ ต่างชาติจะกลับมาหรือไม่ และรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยังอยู่ดีหรือไม่
แต่สิ่งที่จับตากันด้วยความกังวลมากที่สุดคือ นโยบายด้านเศรษฐกิจและการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบลูกใหม่วิ่งกระแทกประเทศไทย
นักวิเคราะห์หุ้นบางคนจึงกลัวว่า ปีหน้านอกจากตลาดหุ้นไทยจะไม่ฟื้นแล้ว อาจฟุบลงจากปีนี้หรือแย่กว่าปีนี้อีก