นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการลงทุนในประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลภาษีส่งท้ายปี สมาคมบริษัทจัดการลงทุนและสมาชิกบริษัทจัดการลงทุน 16 แห่ง พร้อมนำเสนอ 42 กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) และเตรียมออกกองทุน ThaiESG กองใหม่อย่างน้อย 4 กองทุน เพื่อให้เป็นทางเลือกการลงทุน โดยตั้งเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนผู้ซื้อหน่วยลงทุน ThaiESG ให้ได้รวมกันกว่า 200,000 คน ยอดเงินลงทุนใหม่ไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท จาก ณ สิ้นปี 66 ที่ผ่านมาที่มีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร (AUM) รวม 6,400 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มเป็น 11,596 ล้านบาท ณ สิ้น ต.ค.67 และจากจำนวนกองทุนจาก 22 กองทุน เพิ่มเป็น 42 กองทุน
"เป้าหมายเม็ดเงินใหม่ของกองทุน ThaiESG ไม่ต่ำกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท เชื่อว่าใน 2 เดือนสุดท้ายน่าจะมีการซื้อกองทุนจำนวนมาก มองว่าตลาดหุ้นไทยตอนนี้ไม่ถูก และไม่แพง ตลาดหุ้นไทยเติบโตแบบ Organic Growth เติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป"
นางชวินดา กล่าวอีกว่า ปีนี้ตลาดหุ้นไทยเติบโตจากกลุ่มแบงก์ ไอที Consumer Health โดยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และน่าจะเติบโตต่อเนื่อง วันนี้ Book Value หุ้นไทยต่ำ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะไปต่อได้ ปัจจุบัน ดัชนี SET อยู่ระดับ 1,470-1,480 จุด ซึ่งทุก บลจ.เห็นว่าเป็นจังหวะการลงทุน โดยก่อนหน้าตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นจากเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนวายุภักษ์ และก็พักตัว ทั้งนี้ เชื่อว่าเม็ดเงินกองทุน ThaiESG จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีด้วย
นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า กองทุน ThaiESG ที่ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระยะเวลาการถือครองที่ลดลงเหลือเพียง 5 ปี และวงเงินลดหย่อนที่เพิ่มเป็น 300,000 บาท โดยที่ผ่านมา พบว่าคนรุ่นใหม่สนใจเข้ามาลงทุนกองทุน ThaiESG เพราะต้องการบริหารภาษีตัวเอง และให้ความสำคัญเรื่อง ESG มากขึ้น อีกทั้งระยะเวลาลงทุนไม่นานจนเกินไป และเห็นช่วงอายุของผู้ลงทุนกว้างมากขึ้นช่วงอายุ 30-60 ปี ทั้งนี้ ผู้ลงทุนส่วนใหญ่จะลงทุนหุ้นมากกว่า 80% ที่เหลือเป็นการลงทุนตราสารหนี้
นางชวินดา กล่าวว่า ในส่วนกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ซึ่งปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีนั้น ทางสมาคม AIMC คาดว่าจะนำเรื่องไปหารือกับกระทรวงการคลัง ที่อาจจะให้ต่ออายุการรับสิทธิลดหย่อนภาษี
*ให้เป้าดัชนี SET ปี 68 ที่ 1,600-1,625 จุด
นายวิน พรหมแพทย์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย ให้เป้าหมายดัชนี SET ในปี 68 ที่ 1,600 จุด คาด Earning Growth โต 12% โดยเป็นการเติบโตจากการบริโภคในประเทศ การท่องเที่ยว ขณะที่เห็นว่า "ทรัมป์ 2.0" อาจจะทำให้มีการย้ายฐานการผลิต มองว่า กลุ่มนิคมฯ น่าจะได้ประโยชน์ ส่วนดอกเบี้ยคาดว่าในปีหน้า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง กลุ่มแบงก์ ไฟแนนซ์ ได้ประโยชน์ นอกจากนี้กลุ่มสื่อสาร และแบงก์มีการจ่ายเงินปันผลสูงซึ่งเป็นเสน่ห์หุ้นไทยที่ต่างชาติเข้ามา และยังเป็นเป้าหมายของกองทุนวายุภักษ์
ส่วนตลาดหุ้นต่างประเทศ นายวิน แนะให้กระจายพอร์ตลงทุนทั่วโลก โดยให้แบ่ง Core Port 80% ลงทุนกระจายทั่วโลก และอีก 20% หรือ Satellite Port สร้างการเติบโต เลือกลงทุนรายประเทศ ได้แก่ เวียดนาม สหรัฐฯ (ลงทุนเพิ่มเติม) REIT ส่วนอินเดียมอว่า P/E แพงไป อาจรอย่อค่อยเข้าลงทุน ส่วนจีนให้รอมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาลจีนเพิ่มเติม และนักลงทุนก็ลงทุนหุ้นจีนมาค่อนข้างมาก
สำหรับดัชนี SET สิ้นปี 67 มีลุ้นที่ 1,500 จุด เชื่อว่าจะมีแรงส่งจากกองทุนวายุภักษ์ และกองทุน ThaiESG คาด Earning Growth โต 14% ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มีกองทุน ThaiESG 2 กองทุน มูลค่า AUM ราว 3 พันล้านบาท และจะเปิดใหม่อีก 1 กองทุนในช่วงต้นเดือน ธ.ค.นี้ คาดว่าสิ้นปี 67 ทั้ง 3 กองทุน ThaiESG จะมี AUM รวมกัน 1 หมื่นล้านบาท
นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ มองว่าดัชนี SET ปี 68 เป้าหมายที่ 1,600 จุด จากสิ้นปี 67 ที่ 1,400 จุด ยังมี upside 13-14%
ด้านนางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงศรี มองว่า ดัชนี SET ปี 67 สิ้นปีนี้ที่ 1,500 จุด และปี 68 น่าจะโตต่อได้ คาดไว้ที่ 1,625 จุด Earning Growth เพิ่มขึ้น 10% โดยคาดผลตอบแทนการลงทุนในปีหน้าประมาณ 11-12% รวมเงินปันผล โดยบลจ.กรุงศรี มี 3 กองทุน ThaiESG รวม AUM 900 ล้านบาท