หลังจากผลการเลือกตั้งสหรัฐจบลง ซึ่งทำให้นายโดนัล ทรัมป์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ส่งผลให้ราคาบิทคอยน์พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงทะลุ 91000 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่ล่าสุดบิทคอยน์ได้ส่งสัญญาณเบรกราคาลง เมื่อมีการลดลงของราคาถึง -6% ระหว่างวันที่ 13 ถึง 15 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงการปรับฐานครั้งแรกนับตั้งแต่ทะลุจุดสูงสุดที่ทำไว้เดิมที่ 73,880 ดอลลาร์ แม้ว่าจะมีการลดลงนี้แต่บิทคอยน์ยังคงรักษารูปแบบสูงสุดและต่ำสุดที่สูงขึ้นในกราฟรายชั่วโมงทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยข้อมูลสัญญาณแรงซื้อขาขึ้นอาจยังคงอยู่ หากราคายังคงอยู่เหนือ 85,000 ดอลลาร์ในกราฟรายวัน
จากการเปิดเผยของ cointelegraph ระบุว่า การลดลงของบิทคอยน์ล่าสุด แม้ว่าจะไม่สามารถปิดรายวันเหนือ 85,000 ดอลลาร์ได้ โดยสเปกตรัมขาลงอาจขยายตัวเนื่องจากตำแหน่งที่มีการใช้เลเวอเรจมากเกินไปในตลาดฟิวเจอร์ส ซึ่งมีอัตราส่วนเลเวอเรจฟิวเจอร์สที่คาดการณ์ไว้สำหรับตลาด Bitcoin/USDT perpetual ยังคงอยู่ในระดับสูงสุดใหม่ที่ 270% เหนือจุดสูงสุดก่อนหน้านี้จากเดือนพฤษภาคม 2567
นอกจากนี้ ระดับความสนใจเปิดของ บิทคอยน์ยังอยู่ในช่วงสูงสุดตลอดกาล ซึ่งบ่งชี้ว่ามีตำแหน่งที่มีการใช้เลเวอเรจมากกว่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของ BTC
ปัญหาพื้นฐานอีกประการหนึ่งในช่วงการสร้างราคาใหม่ คือคำสั่งซื้อแบบสปอตที่เหนือ 73,884 ดอลลาร์ ทำให้ขาดการสนับสนุนและความต้านทานจากรอบราคาปัจจุบันของ บิทคอยน์
อย่างไรก็ดีข้อมูลจาก CoinGlass เน้นว่าช่วงการชำระบัญชีทันทีที่ใหญ่ที่สุด ยังคงอยู่ใกล้ 85,750 ดอลลาร์ ซึ่งตำแหน่งที่มีการใช้เลเวอเรจมากกว่า 127 ล้านดอลลาร์จะถูกล้างออก
นอกจากนี้ ในข้อมูลความต้องการลงทุน หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ดัชนีพรีเมียมของ Coinbase พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 ภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งแสดงถึงแรงกดดันในการซื้อจากนักลงทุนรายย่อยในสหรัฐ อย่างไรก็ตามต่อมาวันที่ 14 พฤศจิกายน พรีเมียมลดลง 88% ซึ่งบ่งชี้ว่านักลงทุนบางราย เริ่มทำกำไรเล็กน้อยหรือการเสนอราคาสปอตเริ่มลดลง
ทั้งนี้ แม้ว่าราคาของ บิทคอยน์อาจยังคงมีแรงขาขึ้นต่อไป แต่ตลาดฟิวเจอร์สที่มีการใช้เลเวอเรจมากเกินไป และหนังสือคำสั่งซื้อแบบสปอตบาง ๆ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการปรับฐานที่ลึกขึ้น นักลงทุนจึงควรวางแผนความพร้อมของตนเองและระมัดระวังความผันผวนในตลาด
