สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลกแต่ละประเทศให้ความสำคัญกับการจับตามองสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจส่งผลต่อราคาของสินทรัพย์รวมถึงกฎระเบียบที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ
บทความนี้เราจะมาดูสถานการณ์ทางการเมืองเกี่ยวกับคริปโตในสองประเทศที่คนไทยเรารู้จักกันดีอย่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา
ประเทศญี่ปุ่นให้ความสนใจในสกุลเงินดิจิทัลไม่น้อยอย่างที่เรารู้กันว่าค่าเงินเยนอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นคริปโตจึงถูกมองเป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าของสกุลเงินและภาวะเงินเฟ้อ แต่ก่อนทำการลงทุนใด ๆ ควรศึกษาความเสี่ยงและราคาบิทคอยน์ ณ วันนั้น ๆ ให้มั่นใจก่อนตัดสินใจลงทุนคุณสามารถเช็คราคาบิทคอยน์วันนี้ได้ที่นี่
เมื่อค่าเงินเยนอ่อนตัวและอัตราดอกเบี้ยต่ำนักลงทุนก็หันไปพิจารณาสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนแบบเดิม ๆ อย่างตราสารหนี้หรือหุ้น
ยูอิจิโร่ทามากิหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชน (DPP) ได้เสนอให้ลดภาษีคริปโตเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเสนอให้ภาษีคริปโตถูกจัดเก็บแยกต่างหากที่อัตรา 20% แทนที่จะจัดเก็บในหมวดรายได้เบ็ดเตล็ดพร้อมทั้งยกเว้นภาษีในการแลกเปลี่ยนคริปโตกับคริปโตจากสถานการณ์แบบนี้ทำให้เกิดการลงทุนในการตลาดคริปโตเพิ่มขึ้นและล่าสุดMetaplanetปิดดีลระดมทุน 10 พันล้านเยนหรือประมาณ 66.2 ล้านดอลลาร์ เดินหน้าซื้อบิทคอยน์เพิ่มเพื่อกลายเป็นผู้ถือบิทคอยน์รายใหญ่ของโลก
อีกทั้งข้อเสนอนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยี Web3 และ NFTs และพยายามผลักดันให้นโยบายภาษีคริปโตในญี่ปุ่นเป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากขึ้น นอกจากนี้พรรค DPP ยังเสนอให้เพิ่ม leverage ratio จาก 2x เป็น 10x และเปิดตัวกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเพื่อให้นักลงทุนมีโอกาสเข้าถึงตลาดคริปโตได้มากขึ้น
พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ของรัฐบาลก็ได้แสดงความสนใจในการลดอุปสรรคด้านภาษีในภาคส่วน Web3 เช่นกันโดยได้จัดตั้งคณะทำงานด้านนโยบาย NFT โดยเฉพาะในชื่อ “NFT Policy Review Project Team”
อุตสาหกรรมคริปโตจึงกำลังเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและกฎระเบียบมากมาย การอภิปรายแต่ละครั้งมักมีการเจาะลึกประเด็นเกี่ยวกับคริปโตทั้งจากฝั่งผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ “คามาลาแฮร์ริส” และฝั่งรีพับลิกัน “โดนัลด์ทรัมป์”
แม้โดนัลด์ทรัมป์จะเคยกล่าววิจารณ์บิทคอยน์ว่าเป็น “สแกม” อย่างไรก็ตามสถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก เพราะทั้งสองพรรคต่างก็แสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนวงการคริปโตและช่วยผลักดันด้านกฎหมายที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล
แพลตฟอร์มอย่างPolymarketคาดการณ์ว่ามีโอกาส 60% ที่ทรัมป์จะได้ตำแหน่งประธานาธิบดีจะทำให้ตลาดการเงินอาจได้รับผลกระทบ Kalshiประเมินไว้ว่ามีโอกาสที่พรรครีพับลิกันจะได้เก้าอี้ทั้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาและตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ที่ 42%
ผลสำรวจล่าสุดโดย The Digital Chamber เปิดเผยว่าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในสหรัฐฯประมาณ 26 ล้านคน มองว่าจุดยืนของผู้สมัครว่าด้วยเรื่องของคริปโตถือเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกผู้แทน
ซึ่งจากผลสำรวจนี้16% ของผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 1,004 คนระบุว่านโยบายที่สนับสนุนคริปโตเป็นเรื่อง "สำคัญมาก" หรือ "สำคัญอย่างยิ่ง"
นอกจากนี้ผลสำรวจจาก Fairleigh Dickinson University (FDU) ยังพบว่าเจ้าของคริปโตมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนโดนัลด์ทรัมป์ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้ถือเหรียญคริปโตมีแนวโน้มจะสนับสนุนคามาลาแฮร์ริส
กล่าวได้ว่าถ้าประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกเป็นผู้สนับสนุนคริปโตมีแนวโน้มว่าราคา Bitcoin รวมถึง Altcoin อาจจะเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากความต้องการที่สูงขึ้นและความชัดเจนด้านกฎระเบียบ
ยิ่งไปกว่านั้นหากสภาคองเกรสสหรัฐฯมีการออกกฎระเบียบคริปโตที่ผ่อนปรนขึ้นรวมถึงนโยบายด้านภาษีที่ชัดเจนการลดความไม่แน่นอนนี้ก็จะกระตุ้นความต้องการ Bitcoin ให้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากนักลงทุนระดับสถาบันซึ่งอาจผลักดันให้ราคาบิทคอยน์วันนี้สูงขึ้นได้เช่นเดียวกัน
บทความนี้เราจะมาดูสถานการณ์ทางการเมืองเกี่ยวกับคริปโตในสองประเทศที่คนไทยเรารู้จักกันดีอย่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา
ประเทศญี่ปุ่นให้ความสนใจในสกุลเงินดิจิทัลไม่น้อยอย่างที่เรารู้กันว่าค่าเงินเยนอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นคริปโตจึงถูกมองเป็นเครื่องป้องกันความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าของสกุลเงินและภาวะเงินเฟ้อ แต่ก่อนทำการลงทุนใด ๆ ควรศึกษาความเสี่ยงและราคาบิทคอยน์ ณ วันนั้น ๆ ให้มั่นใจก่อนตัดสินใจลงทุนคุณสามารถเช็คราคาบิทคอยน์วันนี้ได้ที่นี่
เมื่อค่าเงินเยนอ่อนตัวและอัตราดอกเบี้ยต่ำนักลงทุนก็หันไปพิจารณาสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนแบบเดิม ๆ อย่างตราสารหนี้หรือหุ้น
ยูอิจิโร่ทามากิหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยเพื่อประชาชน (DPP) ได้เสนอให้ลดภาษีคริปโตเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเสนอให้ภาษีคริปโตถูกจัดเก็บแยกต่างหากที่อัตรา 20% แทนที่จะจัดเก็บในหมวดรายได้เบ็ดเตล็ดพร้อมทั้งยกเว้นภาษีในการแลกเปลี่ยนคริปโตกับคริปโตจากสถานการณ์แบบนี้ทำให้เกิดการลงทุนในการตลาดคริปโตเพิ่มขึ้นและล่าสุดMetaplanetปิดดีลระดมทุน 10 พันล้านเยนหรือประมาณ 66.2 ล้านดอลลาร์ เดินหน้าซื้อบิทคอยน์เพิ่มเพื่อกลายเป็นผู้ถือบิทคอยน์รายใหญ่ของโลก
อีกทั้งข้อเสนอนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ใช้เทคโนโลยี Web3 และ NFTs และพยายามผลักดันให้นโยบายภาษีคริปโตในญี่ปุ่นเป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากขึ้น นอกจากนี้พรรค DPP ยังเสนอให้เพิ่ม leverage ratio จาก 2x เป็น 10x และเปิดตัวกองทุน ETF ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเพื่อให้นักลงทุนมีโอกาสเข้าถึงตลาดคริปโตได้มากขึ้น
พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ของรัฐบาลก็ได้แสดงความสนใจในการลดอุปสรรคด้านภาษีในภาคส่วน Web3 เช่นกันโดยได้จัดตั้งคณะทำงานด้านนโยบาย NFT โดยเฉพาะในชื่อ “NFT Policy Review Project Team”
อุตสาหกรรมคริปโตจึงกำลังเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและกฎระเบียบมากมาย การอภิปรายแต่ละครั้งมักมีการเจาะลึกประเด็นเกี่ยวกับคริปโตทั้งจากฝั่งผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ “คามาลาแฮร์ริส” และฝั่งรีพับลิกัน “โดนัลด์ทรัมป์”
แม้โดนัลด์ทรัมป์จะเคยกล่าววิจารณ์บิทคอยน์ว่าเป็น “สแกม” อย่างไรก็ตามสถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก เพราะทั้งสองพรรคต่างก็แสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนวงการคริปโตและช่วยผลักดันด้านกฎหมายที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล
แพลตฟอร์มอย่างPolymarketคาดการณ์ว่ามีโอกาส 60% ที่ทรัมป์จะได้ตำแหน่งประธานาธิบดีจะทำให้ตลาดการเงินอาจได้รับผลกระทบ Kalshiประเมินไว้ว่ามีโอกาสที่พรรครีพับลิกันจะได้เก้าอี้ทั้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาและตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่ที่ 42%
ผลสำรวจล่าสุดโดย The Digital Chamber เปิดเผยว่าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในสหรัฐฯประมาณ 26 ล้านคน มองว่าจุดยืนของผู้สมัครว่าด้วยเรื่องของคริปโตถือเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกผู้แทน
ซึ่งจากผลสำรวจนี้16% ของผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 1,004 คนระบุว่านโยบายที่สนับสนุนคริปโตเป็นเรื่อง "สำคัญมาก" หรือ "สำคัญอย่างยิ่ง"
นอกจากนี้ผลสำรวจจาก Fairleigh Dickinson University (FDU) ยังพบว่าเจ้าของคริปโตมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนโดนัลด์ทรัมป์ในขณะที่ผู้ที่ไม่ได้ถือเหรียญคริปโตมีแนวโน้มจะสนับสนุนคามาลาแฮร์ริส
กล่าวได้ว่าถ้าประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกเป็นผู้สนับสนุนคริปโตมีแนวโน้มว่าราคา Bitcoin รวมถึง Altcoin อาจจะเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากความต้องการที่สูงขึ้นและความชัดเจนด้านกฎระเบียบ
ยิ่งไปกว่านั้นหากสภาคองเกรสสหรัฐฯมีการออกกฎระเบียบคริปโตที่ผ่อนปรนขึ้นรวมถึงนโยบายด้านภาษีที่ชัดเจนการลดความไม่แน่นอนนี้ก็จะกระตุ้นความต้องการ Bitcoin ให้เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากนักลงทุนระดับสถาบันซึ่งอาจผลักดันให้ราคาบิทคอยน์วันนี้สูงขึ้นได้เช่นเดียวกัน