"ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น "แจ้งผลงานไตรมาส 3 กวาดรายได้จากการขายที่ 4,436 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นถึง 71.8% อยู่ที่ 1,320 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 976 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนผลสำเร็จจากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์การขยายธุรกิจกลุ่มลูกค้า private label ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป การเพิ่มสัดส่วนสินค้าพรีเมียม รวมถึงการตอบสนองความต้องการสินค้าในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก
นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากผลการดำเนินงานตลอดทั้งปี 2567 ไอ-เทลมีความมุ่งมั่นที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือสำหรับกลุ่มลูกค้าแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำของโลกและ private label ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป
โดยบริษัทให้ความสำคัญกับการนำเสนอและขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคและตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลก รวมถึงการดำเนินงานที่เข้มแข็งและกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อคว้าโอกาสจากการเติบโตของเทรนด์การดูแลโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดีของสัตว์เลี้ยง”
สำหรับผลการดำเนินธุรกิจช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ไอ-เทลมีรายได้จากการขายที่ 13,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.3 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 87 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 3,723 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นถึง 129.9 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นผลจากความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น การบริหารจัดการต้นทุนและประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้บริษัทรายงานกำไรสุทธิแข็งแกร่งที่ 2,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 85.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทมีสัดส่วนของยอดขายในสหรัฐอเมริกาคิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ตามด้วยเอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 34 เปอร์เซ็นต์ และยุโรปที่ 16 เปอร์เซ็นต์ โดยแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทสินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 72 เปอร์เซ็นต์ อาหารสุนัข 17 เปอร์เซ็นต์ และขนมของสัตว์เลี้ยง 11 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงบริษัทยังได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูง 890 รายการ เพื่อรองรับความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค
“นอกจากนี้ ไอ-เทลยังเดินหน้าการพัฒนาโครงการต่างๆ ภายใต้ความร่วมมือกับลูกค้ารายสำคัญอย่างต่อเนื่องตามแผนงานและเป้าหมายที่วางไว้ ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังเดินหน้าอย่างเต็มที่เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารกลุ่มfunctional ที่กำลังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเพื่อการดูแลสุขภาพของสัตว์เลี้ยงในระยะยาว อีกทั้งกลุ่มสินค้า private label ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ผู้บริโภคกำลังให้ความสนใจมากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับไอ-เทลเช่นกันในการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงออกสู่ช่องทางการจำหน่ายและกลุ่มตลาดที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น” นายพิชิตชัยกล่าว
จากการให้ความสำคัญกับการพัฒนาความยั่งยืน ล่าสุด ไอ-เทลได้รับรางวัล “อุตสาหกรรมสีเขียว ระดับ 4” ประจำปี 2567 จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันถึงความตั้งใจของบริษัทในการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในสังคม สอดคล้องกับกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 ตลอดจนการผลักดันการมีส่วนร่วมกับชุมชนโดยรอบพื้นที่โรงงานผ่านโครงการเพื่อสังคมต่างๆ อีกด้วย
“เรามีความตั้งใจที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงและโภชนาการที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ซึ่งถือเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจและมีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเรามีความพร้อมและศักยภาพทั้งจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทางธุรกิจ บุคลากรที่เปี่ยมด้วยความสามารถและสินค้าคุณภาพสูงเพื่อตอบโจทย์ความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยง อีกทั้งการขยายความร่วมมือกับคู่ค้าและพันธมิตรผ่านการดำเนินงานที่ยั่งยืนในทุกมิติ” นายพิชิตชัย กล่าว