กระแสการผลักดันร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งภายในนั้นจะมีกาสิโน ที่จะช่วยดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศของรัฐบาลนั้น ดูเหมือนจะมีความร้อนแรงขึ้นทุกที
ล่าสุด นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด กล่าวว่า หลังจากร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศหลายรายออกมาแสดงความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งกลุ่มทุนไทย และต่างชาติที่ออกข่าวมาว่าพร้อมลงทุนหรือเปิดรับความร่วมมือต่างๆ เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการรูปแบบนี้ในประเทศไทย แม้ว่า ณ ปัจจุบันยังไม่มีการผ่านกฎหมายออกมาเพื่อรองรับเรื่องนี้ก็ตาม แต่มีการพูดถึงข้อจำกัด และเปิดเผยถึงทำเลที่สามารถพัฒนาโครงการรูปแบบนี้ได้ในประเทศไทยผ่านทางร่างการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งคำว่า “สถานบันเทิงครบวงจร” มีข้อจำกัดของคุณสมบัติคนที่สนใจจะพัฒนา และเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้
1.ต้องเป็นบริษัทจำกัด
2.ต้องเป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่จดทะเบียนในประเทศไทย
3.ต้องมีทุนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท
ส่วนข้อกำหนดอื่นๆ ที่ได้มีการระบุไว้ในร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร ที่น่าสนใจ มีดังนี้
•เป็นพื้นที่ที่ประกาศกำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น
•ต้องมีกาสิโน ในพื้นที่ประกอบกิจการ
•ต้องเป็นพื้นที่ได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการนโยบาย
•ใบอนุญาตประธุรกิจสถานบันเทิงมีอายุ 30 ปี และต่ออายุได้คราวละ 10 ปี
•ค่าใบอนุญาตครั้งแรก ฉบับละ 5,000 ล้านบาท รายปีอีกปีละ 1,000 ล้านบาท
•ค่าต่อใบอนุญาต ฉบับละ 5,000 ล้านบาท รายปีอีกปีละ 1,000 ล้านบาท
•กาสิโนในโครงการต้องเป็นไปตามที่ระบุในร่างพระราชบัญญัติ เช่น ห้ามมีการเชื่อมต่อกับระบบออนไลน์ กำหนดอายุคนเข้าไป ทุกคนที่มีสัญชาติไทยต้องมีการลงทะเบียน และจ่ายค่าธรรมเนียมก่อนเข้า เป็นต้น
•ต้องประกอบธุรกิจบันเทิงตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.อย่างน้อย 4 ประเภท โดยธุรกิจบันเทิงตามบัญชีแนบท้าย ประกอบไปด้วย 1.ห้างสรรพสินค้า 2.โรงแรม 3.ร้านอาหาร ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ หรือบาร์ 4.สนามกีฬา 5.ยอชต์และครูซซิ่งคลับ 6.สถานที่เล่นเกม 7.สระว่ายน้ำและสวนน้ำ 8.สวนสนุก 9.พื้นที่สำหรับส่งเสริมวัฒนธรรมไทย และสินค้า OTOP 10.กิจการอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด
ซึ่งข้อกำหนดต่างๆ ค่อนข้างมาก และต้องเป็นนักลงทุนที่มีเงินทุน รวมไปถึงมีความสามารถในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ได้ในระดับหนึ่ง เพราะแค่เงินทุนที่ชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทก็ถือว่าไม่น้อยเลยสำหรับการเริ่มต้นเพื่อพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ รวมไปถึงค่าใบอนุญาต ค่ารายปีอีกไม่น้อย และธุรกิจที่ต้องอยู่ในโครงการ 4 อย่างนั้นต้องมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการประเภทนั้นๆ ด้วย
โดยเรื่องของกาสิโนที่ระบุในร่างพระราชบัญญัติว่าต้องมีอยู่ในโครงการด้วยในสัดส่วนประมาณ 10-20% ของพื้นที่ทั้งโครงการ ยิ่งเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทย ดังนั้น จึงอาจจะยังมีนักลงทุนที่ไม่กล้าประกาศหรือออกหน้าว่าสนใจลงทุนในโครงการประเภทนี้มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเลย ซึ่งเท่าที่มีการเปิดเผยออกมานั้นมีทั้งนักลงทุนจากต่างประเทศ และในประเทศที่เปิดเผยออกมาแล้วว่าสนใจจะลงทุนโครงการรูปแบบนี้ในประเทศไทย กลุ่มของนักลงทุนที่มีการเปิดเผยออกมานั้นมีหลายรายที่มีความชำนาญหรือเคยลงทุนโครงการรูปแบบนี้มาแล้ว 5 รายจากต่างประเทศ คือ
1.Las Vegas Sands Corporation ซึ่งลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และมาเก๊า
2.Wynn Resorts มีการลงทุนรูปแบบนี้ในประเทศสหรัฐ และมาเก๊า
3.Caesars Entertainment ลงทุนในสหราชอาณาจักร
4.MGM China Holdings Limited ลงทุนในมาเก๊า
5.Hard Rock International มีการลงทุนในโครงการรูปแบบนี้ในสหรัฐอเมริกา
นักลงทุนจากต่างประเทศทั้ง 5 รายมีการลงทุนและเปิดให้บริการโครงการรูปแบบนี้มาในหลายประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่มีโครงการประเภทกาสิโนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงโรงแรม สวนสนุก สวนน้ำ สนามกีฬา สนามม้า ธุรกิจที่ระบุในร่างพระราชบัญญัติ และเป็นการลงทุนนอกประเทศของพวกเขาไม่น้อย จึงมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งอาจจะเป็นการลงทุนเองแบบ 100% หรือร่วมมือกับผู้ประกอบการ นักลงทุนไทยก็เป็นไปได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ บางกลุ่มของนักลงทุนเหล่านี้เข้ามาศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน และเรื่องต่างๆ ก่อนหน้านี้แล้ว 1-2 ปี ดังนั้น ถ้าเรื่องพระราชบัญญัติมีความชัดเจนก็คงเป็นไปได้สูงมากที่จะมี 1 หรือหลายๆ รายในกลุ่มนี้เข้ามาลงทุนทันที
สำหรับกลุ่มของนักลงทุนไทยที่มีการเปิดเผยออกมาตามสื่อต่างๆ มีหลายรายเช่นกัน เช่น
1.ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่มีการร่วมทุนกับผู้ร่วมทุนต่างชาติที่เปิดเผยออกมาเป็นนักลงทุนจากเกาหลีที่ลงทุนในสนามม้า และมีผู้ร่วมทุนต่างชาติอื่นๆ อีก เช่น MGM Resorts International
2.บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด ซึ่งมีโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและโครงการเมืองการบินที่มีที่ดินขนาดใหญ่กว่า 6,500 ไร่ในจังหวัดระยอง
3.กลุ่มซีพี มีที่ดินมือเยอะ และมีการลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินอยู่ในระหว่างการพัฒนา ซึ่งเป็นไปได้ที่อาจจะนำที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูงมาพัฒนา หรืออาจจะลงทุนในที่ดินแปลงอื่นๆ ทั้งในกรุงเทพมหานคร พัทยา และที่อื่นๆ
4.กลุ่มเดอะมอลล์ กรุ๊ป มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอย่าง แบงค็อกมอลล์ ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ได้ หรืออาจจะพัฒนาที่ดินแปลงอื่นๆ ของตนเอง เช่น รามคำแหง และอื่นๆ
อีกหลายทำเลในต่างจังหวัด เช่นที่ ภูเก็ต หัวหิน เป็นต้น
5.กลุ่มบริษัท พราว ก็มีความสนใจในการลงทุนพัฒนาสถานบันเทิงครบวงจร โดยอาจจะร่วมมือกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอื่นๆ โดยทำเลที่พวกเขามองว่าน่าสนใจ คือ พังงา ซึ่งอยู่ติดกับภูเก็ต และกำลังจะมีสนามบินแห่งใหม่
6.กลุ่มบริษัท สยามพาร์คซิตี้ หรือสวนสยาม พร้อมนำที่ดินขนาด 217 ไร่ติดกับสวนน้ำปัจจุบันเพื่อพัฒนาโครงการนี้ โดยต้องการเชื่อมสวนน้ำ สวนสนุกเข้าไปในโครงการด้วย ซึ่งเบื้องต้นมีกลุ่มทุนจากซาอุดีอาระเบีย และมาเก๊าแสดงความสนใจในโครงการนี้
ส่วนกลุ่มเอกชนไทยรายอื่นๆ ที่อาจจะยังไม่ได้เปิดเผยหรือยังไม่ปฏิเสธหรือว่าตอบรับใดๆ ก็มีอีกหลายราย เช่น
กลุ่มทีซีซี แอสเสทเวิรด์ หรือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และโรงแรมรายอื่นๆ ซึ่งอาจจะมีการร่วมมือกับพันธมิตรทั้งไทยและต่างชาติก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะกฎหมายยังไม่ผ่านการอนุมัติและประกาศใช้เลย ยังมีการเปลี่ยนแปลงและมีอะไรเกิดขึ้นได้ตลอดหลังจากนี้
ทำเลที่มีความเป็นไปได้ในการเกิดโครงการรูปแบบนี้ มีทั้งโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา แต่ยังไม่เสร็จ และที่ดินขนาดใหญ่ซึ่งเป็นของรัฐวิสาหกิจทั้งของการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่คลองเตยซึ่งมีที่ดินขนาดใหญ่ 2 พันกว่าไร่ และที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยอีกหลายแปลงในกรุงเทพมหานคร เช่น ที่ดินตรงสถานีแม่น้ำขนาดประมาณ 260 ไร่ ที่ดินตรงมักกะสันอีก 300 กว่าไร่ ที่ดินติดสถานีกลางบางซื่ออีกหลายสิบไร่ ที่ดินของเอกชนหลายรายที่พร้อมปรับรูปแบบบโครงการบางส่วนเพื่อรองรับโครงการรูปแบบนี้ทั้งในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ซึ่งจากที่ติดตามข่าวมาตลอดมีหลายๆ ฝ่ายพยายามผลักดันให้โครงการสถานบันเทิงครบวงจรออกไปนอกกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่มีความหนาแน่น และมีการพัฒนามากพอแล้ว
แต่ต้องการให้โครงการขนาดใหญ่แบบนี้อยู่ในจังหวัดอื่นๆ เพื่อช่วยในการผลักดันพื้นที่นั้นๆ ให้มีความเจริญมากขึ้น
รวมไปถึงช่วยให้พื้นที่นั้นๆ มีคนเข้าไปในพื้นที่มากขึ้น แต่จังหวัดนั้นก็ต้องเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีระบบขนส่งมวลชนรวมไปถึงสนามบินนานาชาติพร้อมแล้วเช่นกัน
1. จังหวัดชลบุรี เป็นจังหวัดที่มีเมืองท่องเที่ยวชื่อดังอย่างพัทยา และอยู่ในพื้นที่ EEC ซึ่งมีหน่วยงานเฉพาะของ EEC ควบคุม ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ กฎหมายหรือพัฒนาโครงการใดๆ คงสามารถผ่านขั้นตอนต่างๆ ได้รวดเร็วอยู่แล้ว อีกทั้งยังเดินทางจากกรุงเทพมหานครได้สะดวก รวมไปถึงมีสนามบินนานาชาติอย่างสนามบินอู่ตะเภาที่พร้อมรองรับการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว และจำนวนเที่ยวบินที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ยังมีท่าเรือขนาดใหญ่ เส้นทางรถไฟความเร็วสูง และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อื่นๆ อีกด้วย
2.จังหวัดระยอง อีก 1 จังหวัดใน EEC ที่มีความพร้อมเช่นกัน อีกทั้งมีสนามบินอู่ตะเภาก็ไม่ไกลจากระยองมากนัก และยังมีที่ดินที่พร้อมรองรับโครงการขนาดใหญ่ได้ นอกจากนี้เรื่องของการเดินทางจากกรุงเทพมหานครก็สะดวก และแทบไม่แตกต่างจากชลบุรีเลย
3.จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดที่อาจจะไม่โดดเด่นในเรื่องของการท่องเที่ยว แต่อยู่ในพื้นที่ EEC ก็เป็นไปได้ที่อาจจะมีโครงการรูปแบบนี้เกิดขึ้นในอนนาคต เพราะไม่ไกลจากสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ การเดินทางสะดวก มีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงผ่าน และยังต่อยอดไปกับท่องเที่ยวจังหวัดอื่นๆ รอบๆ ได้ เช่น ชลบุรี และสมุทรปราการ
4.จังหวัดภูเก็ต เป็นจังหวัดที่ปัจจุบันพร้อมสำหรับโครงการขนาดใหญ่อยู่แล้ว ซึ่งมีทุกอย่างที่พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวที่จะมากขึ้น อาจจะต้องเพิ่มเพียงระบบขนส่งมวลชนจากสนามบินให้มีความสะดวกกว่าปัจจุบันเท่านั้น อีกทั้งสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ก็กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา และมีท่าเรือเพื่อรองรับเรือโดยสารทางทะเลขนาดใหญ่ด้วย
5.จังหวัดพังงา จังหวัดที่อาจจะไม่ได้ใหญ่มาก และความพร้อมอาจจะเป็นรองภูเก็ต แต่ด้วยมีสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ ที่กำลังพัฒนาซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี พ.ศ.2572-2573 ซึ่งพังงายังสามารถพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อรองรับโครงการขนาดใหญ่ได้อีกมากมาย ต่างจากภูเก็ตที่อาจจะมีหลายอย่างพร้อมกว่า แต่การจะพัฒนาโครงการใดๆ เพื่อรองรับใหม่อาจจะทำได้ยาก เพราะที่ดินมีการพัฒนาไปเยอะแล้ว และราคาที่ดินค่อนข้างสูงในปัจจุบัน
6.จังหวัดสงขลา จังหวัดที่มีชายแดนติดกับมาเลเซียซึ่งปัจจุบันก็มีชาวมาเลเซียเดินทางเข้าท่องเที่ยวจำนวนมากอยู่แล้ว รวมไปถึงชาวต่างชาตอื่นๆ ที่เดินทางเข้าออกผ่านจังหวัดสงขลาและมาเลเซีย นอกจากนี้ ยังสามารถต่อยอดเพื่อรองรับการเดินทางเข้าออกด้วยเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ได้อีกด้วย
7.จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดที่อาจจะไม่ได้เน้นเรื่องของความบันเทิงมากเหมือนในจังหวัดชายทะเล แต่ถ้ามีโครงการประเภทนี้เกิดขึ้นจะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงได้แน่นอน เพียงแต่ต้องหาสถานที่และรูปแบบของการพัฒนาให้ไม่กระทบกับรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในเชียงใหม่ และไม่กระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของเชียงใหม่ในสายตาชาวต่างชาติ
8.จังหวัดอุดรธานี แม้ว่าจะไม่ใช่จังหวัดชายแดนประเทศไทยแต่ปัจจุบันก็เป็นจังหวัดที่ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพื่อท่องเที่ยว ซื้อสินค้า และทำกิจกรรมอื่นๆ อยู่แล้ว อีกทั้งยังมีความพร้อมในเรื่องของสนามบิน ระบบขนส่งมลชนในจังหวัด และยังสามารถต่อยอดเพื่อพัฒนาโครงการต่างๆ ได้ในอนาคต รวมไปถึงอยู่ในเส้นทางรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อกับประเทศลาวและจีนด้วย
จังหวัดตามแนวชายแดนหลายจังหวัดของประเทศไทย เช่น เชียงราย หนองคาย อุบลราชธานี ปราจีนบุรี เป็นต้น ก็เป็นไปได้ที่จะพัฒนาโครงการรูปแบบนี้ เพียงแต่ต้องคำนึงถึงเรื่องของการเดินทาง และการพัฒนาโครงการอื่นๆ ในอนาคตด้วย อีกทั้งโครงการรูปแบบนี้ในประเทศไทยอาจจะไม่ได้คาดหวังว่าจะมีกลุ่มลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลักแน่นอน ต่างจากโครงการรูปแบบนี้ในประเทศเพื่อบ้านรอบประเทศไทยที่ต้องการกลุ่มลูกค้าคนไทยเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องรอพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจรประกาศใช้เป็นรูปธรรมก่อนเพราะอาจจะมีการระบุว่าจังหวัดใดสามารถพัฒนาโครงการรูปแบบนี้ได้ เพราะอาจจะต้องมีการควบคุมที่เข้มงวด รวมไปถึงต้องพิจารณาถึงผลกระทบในด้านต่างๆ
ด้วย รวมไปถึงอาจจะมีการเปิดประมูลที่ดินของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจเพื่อสร้างรายได้ให้หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจในระยะยาว ซึ่งถ้าเป้นแบบนั้นอาจจะต้องติดตามว่าจะมีการระบุในเรื่องเหล่านี้ในพระราชบัญญัติหรือไม่ต่อไป
ถ้าการพัฒนาสถานบันเทิงครบวงจรเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมได้จริงไม่ว่าจะในจังหวัดใดก็ตาม การจัดเจ็บรายได้ของหน่วยงานท้องถิ่น และรัฐบาลคงมากขึ้น ทั้งจากภาษี ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต ค่าต่ออายุ และภาษีเงินได้ของคนที่เข้ามาทำงาน และรายได้จากการท่องเที่ยวคงมากขึ้น เพราะปัจจุบันต้องยอมรับว่าธุรกิจประเภทนี้เป็น 1 ในจุดขายของธุรกิจการท่องเที่ยวในหลายประเทศ และยังเชื่อมโยงถึงการท่องเที่ยวแบบอื่นๆ ได้อีก การจะหารายได้จากการท่องเที่ยวรูปแบบเดิมๆ อาจจะไม่เพียงพอแล้วในอนาคต


