กระทรวงการคลัง ถกกรอบเงินเฟ้อกับธนาคารแห่งประเทศไทย ให้คงกรอบเงินเฟ้อเดิมที่ระดับ 1-3% ต่อไป พร้อมชงมาตรการการเงิน-การคลังหนุนเงินเฟ้อที่ระดับ 2% เป็นแพกเกจร่วมเสนอเข้าที่ประชุม ครม.อนุมัติภายใน ธ.ค.นี้ ย้ำเรื่องแรกสั่งบูรณาการแก้หนี้ครัวเรือนให้จบภายใน 2 สัปดาห์ พร้อมอยากเห็น กนง.พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก เพื่อสนับสนุนการลงทุน ย้ำการกำหนดทิศทางดอกเบี้ยและกรอบเงินเฟ้อ ต้องมองหลายองค์ประกอบและครบทุกด้านด้วย
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คลังได้หารือร่วมกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องกรอบเงินเฟ้ออย่างไม่เป็นทางการ โดยที่ผ่านมาได้มีการประสานผ่านเจ้าหน้าที่ระหว่าง 2 หน่วยงานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งครั้งนี้การประชุมมีข้อสรุป จะคงกรอบเงินเฟ้อเดิมระหว่าง 1-3% ต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะต้องหาข้อสรุปที่เป็นความเห็นร่วมกันระหว่างกระทรวงคลังกับ ธปท. และตรงกัน เพื่อนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในช่วงเดือนธันวาคม 2567 ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้วางกรอบเงินเฟ้อที่เหมาะสมไว้ที่ 2% ซึ่งเป็นระดับที่สนับสนุนการลงทุน ทำให้ต้องพิจารณานโยบายอัตราดอกเบี้ยของไทยและนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศประกอบด้วย โดยในระยะต่อไปการมองกรอบเงินเฟ้อต้องมองภาพรวมที่มีองค์ประกอบสนับสนุนการลงทุน นโยบายอัตราดอกเบี้ยและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน การแก้หนี้ครัวเรือน การกำกับดูแลธนาคาร ซึ่งต้องมองทั้งหมดให้ครบทุกด้าน
“กรอบเงินเฟ้อต้องมองภาพรวมที่มีองค์ประกอบหนุนให้เกิดการลงทุน นโยบายอัตราดอกเบี้ยและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน การแก้หนี้ครัวเรือน การกำกับดูแลธนาคาร ทั้งหมดคือ แพกเกจเดียวกัน สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อ และภาคธุรกิจรวมถึงประชาชนจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้น ต้องให้ ธปท.ขัดเกลาในเรื่องที่ประชุมร่วมกับคลัง เพื่อจะได้ข้อสรุปร่วมในการนำเสนอ ครม.พิจารณา” รมว.คลัง กล่าว
ในช่วงที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจเติบโตที่ระดับประมาณ 1.9-2% ถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูง ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องการให้จีดีพีปรับให้สูงขึ้น ซึ่งกระทรวงคลังได้ประเมินไว้ว่าปี 2567 จีดีพีจะเติบโตประมาณ 2.7% แต่ในปี 2568 รัฐบาลต้องดำเนินการออกมาตราการหรือแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อให้จีดีพีเติบโตมากกว่า 3% เพราะภาวะเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวบ้างหากไม่ทำอะไรจีดีพีจะโต 3% ดังนั้นควรผลักดันให้เศรษฐกิจโตมากขึ้น ซึ่ง ธปท.มีความเข้าใจในนโยบายของรัฐ โดยภายใต้การทำงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) หรือแนวทางปฏิบัติของ ธปท.มีแนวทางสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล และสนับสนุนเรื่องนโยบายการเงินและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนให้เอื้ออำนวยการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นายพิชัย ยังกล่าวว่า กระทรวงการคลังยังคงต้องการเห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงอีก ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงินจะขึ้นหรือจะลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะมีการพิจารณาถึงปัจจัยที่สนับสนุนการลงทุน การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนบูรณาการให้ได้ภายใน 2 สัปดาห์จากนี้ เช่น หนี้บ้าน หนี้รถยนต์ หนี้อุปโภคบริโภค หากลดดอกเบี้ยได้จะส่งผลดีให้คนที่ลงทุนหาสินเชื่อใหม่จะเกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในตลาดจะปรับตัวลดลงเอง ทำให้เกิดสภาพคล่องในภาพรวม แต่เงินเฟ้อจะสูงขึ้นและสินค้าแพงขึ้นเล็กน้อย ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนต้องอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้กับประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง ดังนั้น มาตรการอะไรต้องดูให้ครบรอบด้าน ต่อไป ธปท.ควรดูนโยบายดอกเบี้ยและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคู่ขนานไปด้วย
“ถ้าเงินเฟ้อขึ้นไปได้ระหว่าง 2% จีดีพีโต 5.5% จะสามารถสร้างหนี้สาธารณะได้ 70% ของ 5.5% เท่ากับทำให้รัฐตั้งงบประมาณเพื่อบริหารประเทศขาดดุลได้ 3.85 ของจีดีพี ทำให้ GDP ปี 2568 คาดว่าจะถึง 20 ล้านล้านบาท” รมว.คลัง กล่าว


