บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นถอยหลับสู่ความซบเซาอีกครั้ง ดัชนีทรุดลงต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะหลุดแนวรับระดับ 1,450 จุด แม้มีกองทุนวายุภักษ์ช่วยพยุงอยู่ก็ตาม
นับตั้งแต่กองทุนวายุภักษ์เริ่มนำเงิน 150,000 ล้านบาท เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวขึ้นมาตลอด จนสร้างจุดสูงสุดในรอบปีที่ระดับ 1,506 จุด
แต่หลังจากนั้นปรับฐานลง จนล่าสุดวันจันทร์ที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมาปิดที่ 1,453.03 จุด ทรุดอีก 10.39 จุด
จุดสูงสุดในรอบนี้อาจผ่านไปแล้ว และไม่สามารถคาดหมายได้ว่าการปรับฐานที่กำลังเกิดขึ้น ดัชนีจะถอยลงไปตั้งหลักระดับไหน
ข่าวดีที่กระตุ้นตลาดถูกซึมซับไปหมดแล้ว ไม่ว่าการลงทุนของ "วายุภักษ์" การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารแห่งประเทศไทย มาตรการปลุกกำลังซื้อโดยแจกเงิน 10,000 บาท ซึ่งมองไม่เห็นว่า สถานการณ์เศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น
ข่าวดีที่รอคอยกันอยู่คือ การลดดอกเบี้ยครั้งต่อไปของสหรัฐฯ และแบงก์ชาติ ซึ่งคาดว่าจะเกิดในเดือนพฤศจิกายน และเดือนธันวาคมสำหรับการลดดอกเบี้ยในประเทศ
แต่ระยะสั้นไม่มีปัจจัยบวกแต่อย่างใด ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไม่ใช่ประเด็นที่จะหนุนตลาดหุ้นให้กลับมาคึกคัก แม้ว่าธนาคารจะประกาศผลกำไรโดยรวมงวด 9 เดือนแรกปีนี้ยังเติบโตอยู่ก็ตาม
นักลงทุนในแต่ละกลุ่มเริ่มชะลอการลงทุน เห็นได้ชัดจากสัดส่วนการซื้อขายในแต่ละกลุ่ม ซึ่งซื้อหรือขายสุทธิเพียงไม่กี่ร้อยล้านบาท จนมูลค่าซื้อขายรวมตลาดลดเหลือระดับ 4 หมื่นล้านบาทเศษต่อวัน
หุ้นกำลังปรับไปสู่ภาวะซึม หรือแกว่งตัวลง ซึ่งอาจเกิดขึ้นยืดเยื้อจนรู้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ หรือวันอังคารหน้า เพราะนักวิเคราะห์ประเมินว่า นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุน
แต่ระหว่างนี้หุ้นจะซบเซา เพราะนอกจากไม่มีข่าวดีแล้ว ยังมีปัจจัยลบที่ต้องระวัง โดยเฉพาะสงครามตะวันออกกลาง ซึ่งอิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านกลับ เพียงแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกเท่านั้น
ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นสวนกองทุนวายุภักษ์ โดยเดือนตุลาคมต่างชาติมียอดซื้อหุ้นสุทธิเพียงวันเดียว นอกนั้นขายตลอด มากบ้างน้อยบ้างในแต่ละวัน และสามารถฉุดให้หุ้นทรุดลงกว่า 50 จุดแล้ว จากจุดสูงสุดที่ 1,506 จุด
“วายุภักษ์” น่าจะเหลือกระสุนอีกเยอะ มีเงินที่พร้อมลุยซื้อหุ้นเก็บอีกประมาณ 1 แสนล้านบาท แต่ “วายุภักษ์” ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนซื้อ เพราะเมื่อผู้บริหารกองทุนประเมินแล้วว่า สถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ หุ้นอาจลงต่อ จึงรอจังหวะเก็บหุ้นในราคาต้นทุนต่ำ
เช่นเดียวกับนักลงทุนรายย่อย ไม่ได้ผลีผลามไล่ซื้อหุ้นเหมือนขาลงรอบก่อนๆ แต่จะเฝ้าดูสถานการณ์และรอโอกาสเหมาะมากกว่า
ทุกคนประเมินแล้ว ขาขึ้นรอบใหญ่ซึ่งดัชนีดีดกลับขึ้นมากว่า 200 จุดจบลงแล้ว และหุ้นอยู่ระหว่างช่วงปรับฐาน โอกาสการทำกำไรน้อยกว่าความเสี่ยง จึงลงทุนในลักษณะประคองตัว หลีกเลี่ยงการเจ็บตัวโดยไม่จำเป็น
สัปดาห์นี้ทำใจกันล่วงหน้า หุ้นไม่ไปไหน นอกจากทรงๆ ทรุดๆ โอกาสที่จะสร้างจุดสูงสุดใหม่ต้องรอขาขึ้นรอบต่อไป ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
และจะต้องรอเป็นสัปดาห์ หรือรอกันเป็นเดือน หุ้นจึงจะกลับมาคึกคักรอบใหม่