เปิดขุมทรัพย์เครือออริจิ้นฯ อสังหาฯ ในอีอีซี เผย 15 ปี พัฒนาคอนโดฯ บ้าน โรงแรม คลังสินค้า ในชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา สะสมถึงปัจจุบันกว่า 37,000 ล้าน กว่า 12,000 ยูนิต 550 ห้องพัก และคลังสินค้าราว 199,000 ตร.ม. ชูกลยุทธ์ภาพใหญ่ “Origin EEC Empowered” เชื่อมโยงอีโคซิสเต็มอสังหาฯและบริการในเครือแบบครบวงจร เสิร์ฟตลาด Corporate นักลงทุนที่สยายปีกปักหมุดโรงงาน ฐานการผลิตใน EEC ประเมินความต้องการคลังสินค้าโต ลุยมอบบริการในที่พัก เสริมสวัสดิการ Corporate ดูแลพนักงาน Expat ย้ายถิ่นฐานทำงาน
นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ถือเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่สำคัญระดับท็อปของประเทศ และเป็นพื้นที่ที่เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ให้ความสำคัญในการเข้ามาบุกเบิกพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เป็นรายแรกๆ โดยตลอด 1 ทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทได้มีส่วนสร้างการเจริญเติบโตในพื้นที่ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ด้วยการพัฒนาโครงการทั้งคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร โรงแรม และคลังสินค้า สะสมในพื้นที่รวม 33 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการและมูลค่า REIT รวมกว่า 37,000 ล้านบาท และนับเป็นพอร์ตโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ครบวงจรที่สุดเป็นอันดับ 1 ใน EEC ขณะนี้
โดยผนึกกำลังกับทุกบริษัทในเครือ เดินหน้ากลยุทธ์ “Origin EEC Empowered” ส่งพลังสู่ EEC ด้วยการรวมสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ในเครือมาเชื่อมโยงเป็นอีโคซิสเต็ม และส่งมอบโซลูชันบริการแก่ลูกค้าภาคธุรกิจแบบครบจบในที่เดียว
“เราประเมินว่าคนที่ต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ EEC ไม่ได้มีแค่ลูกค้าทั่วไป ตลาดใน EEC วันนี้ยังขยายขอบเขตไปถึงกลุ่มลูกค้า Corporate ที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ และต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับพนักงานชาวไทย ที่ย้ายถิ่นฐานจากจังหวัดอื่น รวมถึงพนักงานชาวต่างชาติที่ย้ายถิ่นฐานจากต่างประเทศเข้ามาทำงาน เวลา Corporate เข้ามาจะไม่ได้หาแค่ที่อยู่อาศัย แต่ต้องการโซลูชันที่ช่วยให้สามารถทำทุกอย่างได้ง่ายขึ้น เราจึงรวบรวมที่อยู่อาศัยที่เราพัฒนาสะสมกว่า 12,000 ยูนิต โรงแรมทั้งในชลบุรี และระยอง 550 ห้องพัก พร้อมพื้นที่รองรับการจัดประชุมสัมมนา พื้นที่เช่าคลังสินค้า ตลอดจนบริการที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัย มารวมกันพร้อมเสิร์ฟในที่เดียว ซึ่งน่าจะช่วยให้แผนการขยายการลงทุนของบริษัทต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ด้านนายปธาน สมบูรณสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด หรือ ALPHA บริษัทร่วมทุนระหว่าง ออริจิ้นฯ กับบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในระยะ 5 ปีข้างหน้า (2567-71) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตั้งเป้าหมายดึงดูดการลงทุนเข้ามาในพื้นที่มูลค่า 5 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 1 แสนล้านบาท จึงส่งผลให้ความต้องการโรงงานและคลังสินค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
“โรงงานและคลังสินค้า คือจุดเริ่มต้นของอีโคซิสเต็มใน EEC ปัจจุบัน แอลฟา มีคลังสินค้า 5 แห่ง พื้นที่ให้เช่ารวมกว่า 199,000 ตร.ม. โดยได้ส่งมอบแล้วพื้นที่ไปตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มีอัตราการเช่าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 80 ส่วนที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 87,000 ตร.ม. คาดไตรมาสแรกปี 68 จะก่อสร้างแล้วเสร็จ อีกทั้งยังมีแผนพัฒนาพื้นที่คลังสินค้าใน EEC อย่างต่อเนื่อง เราเชื่อมั่นว่าบริษัทมีความพร้อมรองรับทุกการลงทุนจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเป็นโซลูชันที่สมบูรณ์แบบ ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการดำเนินธุรกิจของลูกค้าทุกด้าน และเชื่อมต่อกับความครบวงจรของสินค้าและบริการอื่นๆ ในเครือออริจิ้น”
ด้านนายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI กล่าวคาดการณ์ว่าจะมีประชากรในพื้นที่ EEC เพิ่มขึ้นอีกราว 1.2-1.5 ล้านคนภายในปี 2580 ซึ่ง PRI พร้อมร่วมเชื่อมโยงอีโคซิสเต็มด้วยการนำ The exceptional prime service จากทุกบริษัทในเครือพรีโม มาส่งมอบบริการที่ครบวงจรในทุกมิติ สู่ภาค EEC ครอบคลุมทั้งกลุ่มลูกค้า B2B และ B2C ที่มีความต้องการบริการที่แตกต่างกัน
สำหรับเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ถือเป็นผู้นำที่เข้ามาบุกเบิกโครงการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ EEC มีโครงการขนาดใหญ่เป็นโครงการมิกซ์ยูสถึง 2 แห่ง ได้แก่ ออริจิ้น สมาร์ท ดิสทริค ศรีราชา แหลมฉบัง และออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง มีโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่หลากหลายแบรนด์ มีโครงการบ้านมิกซ์โปรดักต์ภายใต้แบรนด์บริทาเนีย มีโรงแรมภายใต้เครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG) ที่เปิดให้บริการใน EEC แล้ว 2 แห่ง มีคลังสินค้าภายใต้แบรนด์แอลฟา