เอกสารล่าสุดจาก Bitcoin Policy Institute ชื่อว่าThe Case for Bitcoin as a Reserve Asset เสนอแนะว่าธนาคารกลางควรนำ Bitcoin มาใช้ เป็นสินทรัพย์สำรองเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความเสี่ยงด้านการควบคุมเงินทุน การผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาล การล้มละลายของธนาคาร และมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนด
อย่างไรก็ตาม บิทคอยน์เป็นตัวกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
นักเศรษฐศาสตร์ แมทธิว เฟอร์แรนติ ชี้ว่าบิทคอยน์ มีความสัมพันธ์ที่อ่อนแอกับเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ทำให้เป็นตัวกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และไม่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา ซึ่งเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐ
การสนับสนุนจากนักการเมืองและผู้นำทางธุรกิจ
หลังจากที่อดีตประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์ในงาน Bitcoin 2024 ที่แนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี วุฒิสมาชิก ซินเทียร์ ลัมมิส ได้เสนอร่างกฎหมาย Bitcoin Strategic Reserve ในวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายที่จะซื้อให้ได้ 5% ของอุปทานทั้งหมด
ขณะที่ไมเคิล เซเลอร์ ซีอีโอของ MicroStrategy และผู้นำความคิดด้านการลงทุนบิทคอยน์ ยกย่องโครงการสำรองเชิงกลยุทธ์ของบิทคอยน์ ว่าเทียบเท่ากับการซื้อหลุยเซียนาในศตวรรษที่ 21 โดยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาและบิดาผู้ก่อตั้งประเทศ โทมัส เจฟเฟอร์สัน ซื้อดินแดนหลุยเซียนาจากฝรั่งเศสในราคา 15 ล้านดอลลาร์ในปี 1803 ซึ่งเพิ่มพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาเป็นสองเท่าในขณะนั้น
แม้ว่าแนวคิดการสำรองเชิงกลยุทธ์จะได้รับความนิยมในหมู่ผู้ถือบิทคอยน์แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นด้วยกับความพยายามนี้ โดยชาร์ลส์ ฮอสกินสัน ผู้ก่อตั้ง Cardano เคยโต้แย้งว่าแม้ว่าการนำ BTC มาใช้ในฐานะสินทรัพย์สำรองเชิงกลยุทธ์จะช่วยเพิ่มราคาของบิทคอยน์แต่ก็จะทำให้หน่วยงานของรัฐสามารถมีอิทธิพลต่อเครือข่ายบิทคอยน์ได้เช่นกัน