"เอ็น.ดี.รับเบอร์" ติดตั้งเครื่องทดสอบ Testing Center อุปกรณ์ 5G มั่นใจเสริมพอร์ตรายได้แกร่ง สร้างความยั่งยืนในอนาคต ด้านเอ็มดี “ชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา” มองตลาดการทดสอบอุปกรณ์สำหรับ 5G และ Data Center มีศักยภาพในการเติบโต พร้อมวางเป้าผลงานปีนี้เทิร์นอะราวนด์ ปักธงรายได้ 900 ล้านบาท
นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR ผู้ผลิตและจำหน่ายยางนอกและยางในรถจักรยานยนต์ภายใต้แบรนด์ N.D.Rubber เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัทย่อย คือ บริษัท เอ็กซ์โทรนิค จำกัด นั้น ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างทยอยติดตั้งเครื่องทดสอบ ซึ่งคาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จภายในปี 2567 นี้ และจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาประมาณไตรมาส 1 หรือ 2 ของปี 2568 เป็นต้นไป
บริษัทย่อยแห่งใหม่นี้จะตรวจสอบและทดสอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่รองรับระบบเครือข่าย 5G และอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตไร้สาย เพื่อเจาะตลาด 5G ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงอุปกรณ์ที่ต้องใช้ใน Data Center ต่างๆ ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว คาดว่าจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัท และกระจายฐานรายได้ของธุรกิจ สร้างการเติบโตที่สำคัญอย่างแข็งแกร่งในอนาคต
"เรามองว่าศักยภาพของตลาดอุปกรณ์ทดสอบ 5G กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการขยายตัวของเครือข่าย 5G และ Data Center ทั่วโลก ซึ่งเราจะเป็นส่วนหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญในการพัฒนาโซลูชันทดสอบเพื่อให้อุปกรณ์ที่ต้องไปใช้ในเครือข่าย 5G และ Data Center ต่างๆ ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุด และนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน" นายชัยสิทธิ์ กล่าว
นายชัยสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจในปีนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานจะสามารถพลิกฟื้นกลับมาเทิร์นอะราวนด์ได้ โดยวางเป้ารายได้อยู่ที่ 900 ล้านบาท โดยยังคงโฟกัสกลุ่มธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายยางในและยางนอกรถจักรยานยนต์ ซึ่งตลาดยางรถจักรยานยนต์ในประเทศและต่างประเทศยังสามารถเติบโตได้อย่างดี ซึ่งบริษัทส่งออกยางรถจักรยานยนต์ไปหลายประเทศ โดยตลาดหลักอยู่ในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน และประเทศกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม) ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต นอกจากนี้ บริษัทได้มีแผนการขยายพอร์ตสินค้า High Margin มากขึ้น และให้ความสำคัญเรื่องการควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการปรับโครงสร้างการขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงให้มีสัดส่วนมากขึ้น