xs
xsm
sm
md
lg

“แสนสิริ” ชี้อสังหาฯ ไม่ใช่แค่ธุรกิจแต่เป็นหัวใจ ศก.ระบุปี 68 กำลังซื้อ ตปท.ยังสำคัญ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในช่วงไตรมาสแรกของปี 67 เป็นต้นมาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต่างชะลอแผนการพัฒนาโครงการ ทั้งแนวราบและแนวสูง หลังแนวโน้มตลาดไม่สดใส่อย่างที่หลาย ๆ คนคาดการณ์ไว้ ถึงขั้นที่นายกสมาคมอาคารชุดไทย “ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต” ออกปากในระหว่างการเป็นวิทยากรรับเชิญ ในงานเสวนากรุงเทพจตุรทิศประจำปี 2567 ที่จัดโดย เว็บไซต์ prop2morrow“ ว่า 30 กว่าปีที่ผมคลุกคลีอยู่ในวงการอสังหาฯ ปีนี้(2567) เป็นปีที่ตลาดอสังหาฯแย่ที่สุด ในไตรมาสแรกที่อยู่อาสัยทุกตลาด ทุกเซ็กเม้นต์ หดตัวกันหมด

ขณะที่ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นมาสัญญาณการกลับมาของดีมานด์ในตลาดคอนโดมิเนียม ทำให้ตลาดในช่วงที่ผ่านมาอัตราการทระบายออกของคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ขยายตัวดีมาก โดย”ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มมหาชน) ได้ระบุในวันเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการใหม่ล่าสุดว่า นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2-3 เป็นต้นมาดีมานด์คอนโดกลับมาขขยายตัวแรง จนส่งผลให้ซับพลายคอนโดในตลาดลดลงอย่างรวดเร็ว โดยในส่วนของ “ศุภาลัย” นั้นสามารถปิดการขายคอนโดพร้อมอยู่ไปหลายโครงการ ทำให้สต๊อกคอนโดลดลงอย่างมาก และเป็นที่มาของการเปิดตัวโครงการคอนโดใหม่ 4 โครงการรวดในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และในปี 68 ยังมีแผนจะเปิดตัวโครงการคอนโดใหม่เพิ่มไม่ต่ำกว่า 1 เท่าตัวของปี 67นี้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าดีมานด์คอนโดจะดีดตัวกลับตั้งแต่กลาง 67 ปีที่ผ่านมา แต่อุปสรรคของผู้บริโภคคนไทยที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย หลักๆ ยังคงเป็น ปัญหา หนี้ครัวเรือนสูงที่มีผลทำให้การกู้ยืมยากขึ้น ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงยังคงกระทบกับกำลังซื้อของผู้ซื้อและผู้ขาย ขณะที่การแข็งค่าของเงินบาท ก็ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติให้ชะลอการซื้อไปด้วย ปัญหา คือในปี 68 ที่ถูกคาดการณ์ว่าตลาดอสังหาฯ จะกลับมาฟื้นตัวได้นั้น เป็นการฟื้นตัวจากกำลังซื้อของคนในประเทศ หรือยังคต้องพึ่งกำลังซื้อจากต่างประเทศเป็นหลัก

ภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ
จากประเด็นดังกล่าว “ภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ” ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า
การเข้ามาของกำลังซื้อต่างประเทศเป็นโอกาสที่ดีของตลาดอสังหาฯไทย โดยเฉพาะเมื่อผู้ซื้อจากต่างชาติมาลงทุนในอสังหาฯ
ได้ง่ายขึ้น ประกอบกับการจัดเก็บภาษีจากชาวต่างชาติได้มากขึ้น จะทำให้ประเทศไทยมีเงินมาพัฒนาประเทศ เพิ่มขึ้น ดังนั้น ในระหว่างที่ดีมานด์ในประเทศยังไม่ฟื้น การที่มีดีมานด์ชาวต่างชาติเข้ามาเสริม จึงเป็นการช่วยขับเคลื่อนภาพอสังหาฯ ให้เติบโตต่อได้

“ผมมองว่าโดยรวมแล้ว แม้สถานการณ์จะท้าทาย แต่อสังหาฯไทยยังมีโอกาสเติบโต หากรับบาลมีการ ดำเนินการใน3 ด้านคือ 1.ปรับนโยบายให้เอื้อต่อการลงทุนจากต่างชาติ2.พัฒนาระบบภาษีให้มีประสิทธิภาพ 3.สร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาและการกระจายรายได้”

โดย ปีหน้านี้ “แสนสิริ” ยังคงงเดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มเพื่อเสริมสินค้าเข้าพอร์ตที่ลดลง หลังมีการปิดการขายโครงการเดิมไปหลายโครงการในปีนี้ โดย แสนสิริ ยังคงโฟกัสที่ การรักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ อาทิ รักษาระดับยอดขาย ปีละ 40,000 - 50,000 ล้านบาท โดยมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้น โดยเฉพาะแนวราบ โดยมีสัดส่วนการลงทุนในโครงการแนวราบที่ 60-70% และลงทุนโครงการแนวสูง 30-40%

โดยจะเน้นการรุก Strategic  Location หัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ มีโรดแมปการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ชัดเจน และได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน -highlight คือ ภูเก็ต กับ THE SOCIETY’ SANSIRI’S FIRST SOCIAL SPACE IN PHUKET

“ เราจะเน้นการยกระดับโมเดลของSansiri Communityในแต่ละทำเลที่เข้าไปพัฒนาโครงการ และยกระดับให้เป็นสังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์ – ยกตัวอย่างSansiri 10 Eastซึ่งเป็นLuxury Communityแห่งแรกของแสนสิริ ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้ และยังคงเดินหน้ารักษามาตรฐานความเป็นBrandอันดับ 1 ในตลาดDesign Leader, Innovation, Quality & Service, Sustainabilityและเป็นองค์กรชั้นนำที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายการเข้าทำงานของคนรุ่นใหม่”


*** ดอกเบี้ยกุญแจสำคัญสู่การฟื้นตัว

“ภูมิภักดิ์” กล่าวว่า แม้ว่าดีมานด์ในตลาดอสังหาฯ ช่วงปลายปีจะดีดตัวกลับมา แต่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง สวนทางกับกำลังซื้อ การแก้ปัญหาแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไทยต้องนำมาเป็นบทเรียน เพราะ ท่ามกลางความวุ่นวายทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกและผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน รัฐบาลแต่ละประเทศพยายามกระตุ้นและพยุงเศรษฐกิจของตัวเอง ตัวอย่าง เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน และ เกาหลีใต้ ซึ่งมีความเคลื่อนไหวทางด้านนโยบายอย่างชัดเจน

เริ่มตั้งแต่สหรัฐออกมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง0.5% อังกฤษ ได้มีการลดดอกเบี้ยลง0.25% ล่าสุดเกาหลีใต้ประกาศลดดอกเบี้ยลง 0.25% ขณะที่จีน ออก3 มาตรการใหญ่ กระตุ้นเศรษฐกิจ คือ การแจกเงินให้ผู้มีรายได้น้อย ลดดอกเบี้ยลง 0.20% และลดดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน0.50% และให้รัฐบาลท้องถิ่นเข้าไปซื้อหรืออุ้มโครงการอสังหาฯที่อยู่ในภาวะ Oversupply โดยอาจจะมีการซื้อโครงการมาในราคาDiscount และปล่อยเช่าให้ผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้ไม่ให้สินทรัพย์หรือหนี้สินต่างๆ เป็นNPL เมื่อติดตามมาตรการต่างๆ ของประเทศต่างแล้ว ย้อนกลับมาดูเศรษฐกิจไทย ปัจจุบันนั้นเป็นอย่างไร


**ลดดบ.0.25%คลายกดดันผู้ซื้อ-อสังหา

ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติ ให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง0.25% ซึ่งถือเป็นข่าวดีต่อผู้ประกอบการอสังหาฯ และผู้บริโภคที่กำลังจะซื้อบ้านในช่วงปลายปีนี้ อย่างไรก็ตาม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงนั้น “สุรเชษฐ กองชีพ” กรรมการผู้จัดการบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด มองว่า เป็นการช่วยลดแรงกดดันจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งช่วยให้ฝั่งผู้ประกอบการอสังหาฯลดความกดดันลง ขณะเดียวกันก็ลดแรงกดดันให้กับผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยไปด้วย อย่างไรก็ตาม การลดแรงกดดัน จาก การปรับลดดอกเบี้ยนั้นอาจช่วยผู้บริโภคที่ต้องผ่อนค่างวดบ้านได้ไม่มากนักเนื่องจากการลดดอกเบี้ย 0.25% ไม่ได้มีผลกับการลดค่างวดได้มากนักโดยสามารถช่วยลดดอกเบี้ยค่างวดบ้านได้ ล้านละ 2,500 บาท

สำหรับ การลดดอกเบี้ย นโยบายลง 0.25% ของ กนง. แม้จะเป็นการลดแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยแต่เชื่อว่าในระยะสั้นจะยังส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในทันทีเนื่องจากต้องรอดูว่าธนาคารพาณิชย์จะรับลูกปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงมากแค่ไหน โดยส่วนตัวแล้วชื่อว่าธนาคารพาณิชย์คงไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงพร้อมกันทั้งหมดหรือหากมีการปรับลงอาจจะเป็นเพียงส่วนน้อย ซึ่งก็ไม่สามารถชดเชยในส่วนที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาได้เนื่องจากในช่วงก่อนหน้านี้สถาบันการเงินมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปเกือบ 2% 

“ปัญหาที่สำคัญ คือ แม้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงแต่แบงค์ยังคงเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยรายย่อยอยู่
ซึ่งจะทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยไม่ได้ลดลงหรือยังคงอยู่ในระดับเดิม เนื่องจากแบงค์ยังคงกังวลเกี่ยวกับหนี้สินครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงดังนั้นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในครั้งนี้จึงช่วยในเรื่องของคลายความกดดันเท่านั้นแต่ไม่ได้ช่วยในเรื่องของโอกาสหรืออัตราการอนุมัติสินเชื่อให้เพิ่มขึ้นมากนัก” นายสุรเชษฐ กล่าว  


“ภูมิภักดิ์” กล่าวว่า สำหรับภาคธุรกิจอสังหาฯนั้นการที่ระดับหนี้สิ้นครัวเรือนเราสูง ทำให้การกู้ยืมเป็นไปได้ยาก เนื่องจากรายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย ยิ่งอัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้ปรับลดลงก็ส่งผลกระทบ 2 เด้งกับผู้ประกอบการ นั่นคือ ภาระดอกเบี้ยยังไม่ลดสำหรับกำลังซื้อในประเทศ ส่วนกำลังซื้อจากต่างประเทศก็ลดลงเนื่องจากสินค้ามีราคาสูงขึ้นจากการแข็งค่าของเงินบาท เรื่องดอกเบี้ยเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะมองต่างมุมกัน คนรวยที่ไม่ค่อยมีหนี้ก็จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการลดดอกเบี้ยเพราะมีเงินออมหรือเงินลงทุนอยู่ ต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้น การลดดอกเบี้ยก็จะกระทบกับความมั่งคั่งของเค้า

ในขณะคนที่มีรายได้น้อย หาเช้ากินค่ำ เงินไม่พอใช้ ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมา ก็ต้องการให้ลดดอกเบี้ยเพื่อบรรเทาค่าใช้จ่าย ซึ่งสถานการณ์ของอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ความต้องการโดยรวมยังไม่ฟื้นตัว แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สามารถปรับตัวได้ก็ยังทำผลประกอบการได้ดี เนื่องจากมีสายป่านที่ยาวกว่า หันไปพัฒนาสินค้าที่ราคาสูงขึ้นเจาะตลาดที่มีกำลังซื้ออยู่ อย่างไรก็ตามสถานการณ์แบบนี้ถ้าปล่อยต่อไปก็อาจจะไม่ส่งผลดีต่อภาพรวมเท่าไหร่ เนื่องจากอสังหาฯ เป็นหนึ่งSector ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สำคัญแค่ไหนก็ขอให้ไปดูว่าทำไมประเทศจีน ประเทศที่เศรษฐกิจในช่วงหลังมีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่องจึงให้ความสำคัญมากกับเรื่องนี้

“วันนี้ เรามีบริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าความต้องการที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติจะต้องมีมากขึ้น การปรับกฏเกณฑ์ต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันน่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้คงไม่ไปบอกว่าอยากให้ปรับอะไร แต่การเก็บภาษีจากชาวต่างชาติและบริษัทต่างชาติก็เป็นสิ่งที่ต้องมาดูกันเข้มข้นขึ้น เพื่อทำให้ประเทศพัฒนาและไม่เสียโอกาส ในเมื่อจะมีการลงทุนอีกมากเกิดขึ้นในประเทศไทย ต้องอย่าลืมว่ากลไกสำคัญอย่างนึงก็คือเรื่องภาษี ประเทศเรา มีคนเรียกร้องสิทธิกับการใช้จ่ายเกี่ยวกับเรื่องภาษีกันมากมาย แต่เมื่อดูตัวเลขจริง ๆ แล้ว ประชากรไทยมีประมาณ70 ล้านคน อยู่ในวัยทำงาน40 ล้านคน ยื่นจ่ายภาษี10 ล้านคน แต่จ่ายภาษีจริงๆ แค่4 ล้านคน ถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้อยู่ เราก็คงเป็นประเทศที่ฐานพีระมิดกว้างอยู่ดี จะเป็นโอกาสที่ดี ถ้าเรามีต่างชาติมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายขึ้น และเราจัดเก็บภาษีจากเค้าได้มากขึ้นเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ ซึ่งถือว่าระหว่างที่Demand ในประเทศยังไม่ฟื้นDemand ชาวต่างชาติตรงนี้จะช่วยขับเคลื่อนภาพอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตต่อได้” “ภูมิภักดิ์” กล่าว


 บาทแข็งค่าเหรียญสองด้าน ศก.ไทย

“ภูมิภักดิ์” กล่าวถึงปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ ไทยในปัจจุบันว่า นอกจากปัญหาหนี้ครัวเรือน การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ และกำลังซื้อของลูกค้าที่หดตัวที่ยังมีผลในแง่ลบ แล้วทิศทางของดอกเบี้ย และการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น คือปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปีนี้ อย่างไรก็ตามแต่ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่าจาก37 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่33.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ส่งผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออก และการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้น จากการประมาณการของธนาคารโลกล่าสุดGDP ของประเทศไทยอยู่ที่2.4% ซึ่งGDP คือค่าเฉลี่ยของการเติบโตของประเทศ มีองค์ประกอบหลายอย่าง แต่ที่จะขอกล่าวถึงวันนี้ ก็มีอยู่ด้วยกัน3 Sector ก็คือ การส่งออก การท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์ นับเป็น65%, 20% และ5% ของGDP ตามลำดับ เป็นที่น่าเสียดายว่าในช่วงที่ผ่านมาภาพรวมการส่งออกของไทยดีขึ้น แต่มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นไม่ได้มากเนื่องจากเงินบาทเราแข็งค่าขึ้นไปมา จากจุดที่อ่อนสุดในปีนี้ที่ประมาณ37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ไปอยู่ที่ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงสั้นๆ หลังจากนั้นทาง ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้มีการแทรกแซงค่าเงินทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อยมาอยู่ที่33.50 บาทต่อดอลลาร์

“แต่ก็ถือว่าเงินบาทก็ยังแข็งค่าอยู่ เมื่อเทียบกับต้นปีที่มีอัตราการแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ผู้ส่งออกไม่ได้รับผลบวกจากยอดการส่งออกที่เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร และส่งผลต่อกำลังซื้อในประเทศด้วยเช่นกัน ในแง่ภาคท่องเที่ยว
ถึงแม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้น แต่การแข็งค่าของเงินบาทก็ส่งผลให้เกิดการชะลอในการจับจ่ายใช้สอย อย่างไรก็ดีถ้าไม่นับเรื่องของค่าเงินแล้วสถานการณ์ของการส่งออกและการท่องเที่ยวก็ถือว่ากระเตื้องขึ้น แต่น่าเสียดายที่น่าจะปรับตัวได้ดีกว่านี้ถ้าค่าเงินบาทเราอยู่ในระดับที่เหมาะสม” “ภูมิภักดิ์” กล่าว


หนี้สาธารณะvs หนี้ครัวเรือนดาบสองคมศก.ไทย

“ภูมิภักดิ์” กล่าวว่าอีกหนึ่ง ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเศราฐกิจและ ธุรกิจอสังหาฯ ในปัจจุบัน คือ หนี้สาธารณะของไทย ซึ่งอยู่ที่ 62% ของGDP ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก ขณะที่หนี้ครัวเรือนไทย อยู่ที่ 92% ของGDP ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แบงก์ยังคงเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อในปัจจุบัน

“ก่อนจะไปพูดถึงสถานการณ์ตลาดอสังหาฯในโค้งสุดท้ายของปี คงต้องพูดถึงภาพรวมเศรษฐกิจตอนนี้ก่อน ปัจจัยบวกที่เห็นตอนนี้ก็จะมีเรื่องของเงิน 10,000 บาท ที่ช่วยแก้ไขปัญหาปากท้องในระยะสั้นของผู้มีรายได้น้อย ตลาดหุ้นที่กระเตื้องขึ้นอันเนื่องมากจาการกลับมาลงทุนของ นักลงทุนต่างชาติ ถือเป็น50% ของมูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(ตลท.) โดยสาเหตุหลักก็น่าจะมาจากเสถียรภาพของรัฐบาล และก็ยังมีข่าวดีทยอยออกมาในเรื่องของการลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในต่างชาติ ส่วนใหญ่ก็จะส่งผลดีในแง่บวกกับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีสัดส่วน คิดเป็น35% ของGDP ผู้ได้ประโยชน์ในข่าวดีตรงนี้ก็น่าจะเป็นเจ้าของกิจการนักลงทุนในตลาดหุ้น พนักงานในโรงงานต่างๆ โดยจะช่วยขับเคลื่อนให้GDP เติบโตได้ในอนาคต”

เมื่อพูดถึงเรื่องหนี้สินก็จะมีตัวเลขอยู่ 2 ตัวที่ดูกัน คือหนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือน ต่อGDP สำหรับหนี้สาธารณะประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับ ประเทศมหาอำนาจ หรือประเทศในกลุ่มเอเชียแปซิฟิก ถือว่าหนี้สาธารณะของเราอยู่ในระดับที่น้อยกว่ามาก โดยหนี้สาธาณะของ อเมริกา อังกฤษ จีน และค่าเฉลี่ยกลุ่ม เอเชียแปซิฟิก จะอยู่ที่122%, 89%, 84% และ 68% ตามลำดับในขณะที่ไทยเราอยู่ที่ 62% นั่นหมายความว่ารัฐบาลยังมี Room ในการก่อหนี้เพื่อสร้างMega Project เพื่อผลักดันเศรษฐกิจในประเทศได้พอสมควร

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับ สิงค์โปร์ ที่มีเศรษฐกิจที่เจริญกว่าเรา พบว่าสิงค์โปร์มีหนี้สาธารณะอยู่ที่174% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การสร้างหนี้สาธารณะของสิงค์โปร์สามารถทำให้ประชาชนเค้ากินดีอยู่ดีขึ้น แต่ถ้าเรามาดูกันที่หนี้สินครัวเรือนแล้ว อเมริกา อังกฤษ จีน และ สิงค์โปร์ มีหนี้ครัวเรือนต่อGDP อยู่ที่72%, 80%, 63% และ46% ตามลำดับ ขณะที่ของไทยมีหนี้สาธารณะอยู่ที่92% นั่นอาจจะหมายความว่าถ้ารัฐบาลมีการก่อหนี้มาช่วยเหลือเศรษฐกิจมากประชาชนก็อาจจะเป็นหนี้น้อยลงก็เป็นไปได้

“หากเปรียบเทียบกับหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศที่มีหนี้ครัวเรือนมากกว่าไทย ไม่ว่าจะเป็น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย แคนาดา เนเธอร์แลนด์ และ เกาหลีใต้”


กำลังโหลดความคิดเห็น