เทสล่า โอนย้ายการถือครองเหรียญบิทคอยน์มูลค่า 765 ล้านเหรียญสหรัฐไปยังที่อยู่ใหม่ ทำให้เกิดการคาดเดาเกี่ยวกับกลยุทธ์ธุรกิจในอนาคต แม้ว่าการโอนย้ายเงินครั้งนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่กองทุนก็ไม่ได้เชื่อมโยงกับการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลใดๆ ซึ่งบ่งชี้ว่าเทสล่าอาจจะยังไม่ได้ขายบิทคอยน์ในเวลานี้
เทสล่าบริษัทผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า ได้โอนเหรียญที่ตนเองถือครองบิทคอยน์ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 765 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินบาทไทยประมาณ 25,375 ล้านบาท ไปยังกระเป๋าเงินที่ไม่ระบุชื่อหลายใบ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับกลยุทธ์ของบริษัทในด้านสกุลเงินดิจิทัล
ตามข้อมูลของ Arkham Intelligence ระบุว่าการโอนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ Bitcoin จำนวน 11,500 รายการ ที่ถูกโอนไปยังที่อยู่ใหม่หลายแห่งใน 26 ธุรกรรมที่แตกต่างกัน แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่เงินจำนวนดังกล่าวไม่ได้เชื่อมโยงกับการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลใดๆ ซึ่งบ่งชี้ว่าเทสล่าอาจจะไม่ได้ขายบิทคอยน์ในเวลานี้
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่กระเป๋าเงินบิทคอยน์ของเทสล่ามีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งก่อนการโอนกระเป๋าเงินดังกล่าว ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวมาเป็นเวลานาน ทำให้ผู้สังเกตการณ์ในอุตสาหกรรมคริปโตหลายคนคาดเดาเกี่ยวกับแผนการของบริษัทในอนาคต
ทั้งนี้หากย้อนไปในอดีต พบว่าเทสล่าเข้าสู่ตลาดคริปโตเป็นครั้งแรก โดยลงทุนในบิทคอยน์เดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยซื้อสกุลเงินดิจิทัลมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงหลายเดือนต่อมา บริษัทได้ขายสินทรัพย์บางส่วนที่ถือครองจำนวน 4,320 เหรียญบิทคอยน์ในช่วงต้นปี 2564 และอีก 29,160 เหรียญบิทคอยน์ในปี 2565
ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ เทสลา ได้มีการอนุญาตให้ใช้บิทคอยน์เป็นตัวเลือกการชำระเงินสำหรับรถยนต์เทสลาในช่วงสั้นๆ ในปี 2564 แต่การตัดสินใจดังกล่าวถูกยกเลิกอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปัญหาสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาเขาได้ระบุบนโซเชียลมีเดียว่า บริษัทจะยอมรับการชำระเงินด้วยบิทคอยน์อีกครั้งเมื่อพลังงาน 55% ที่ใช้ในเครือข่ายมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตามซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าการขุดบิทคอยน์มีการใช้พลังงานมหาศาลจากหลายแหล่ง โดยแหล่งพลังงานที่ใช้ในการขุดบิทคอยน์ (แบ่งตามเปอร์เซ็นต์) หลักๆ มาจากพลังงานฟอสซิล (ถ่านหิน, ก๊าซธรรมชาติ, น้ำมัน) ประมาณ 58–65% ของพลังงานที่ใช้ในการขุดบิทคอยน์มาจากแหล่งพลังงานฟอสซิล
พลังงานถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเป็นแหล่งพลังงานหลัก โดยเฉพาะในประเทศที่มีต้นทุนพลังงานต่ำจากฟอสซิล เช่น จีนก่อนที่จะมีการปราบปรามเหมือง และบางประเทศในเอเชียกลาง
ขณะที่พลังงานหมุนเวียน (พลังงานน้ำ, ลม, แสงอาทิตย์, ชีวมวล) ประมาณ 35–42% ของพลังงานที่ใช้ในการขุดบิทคอยน์มาจากพลังงานหมุนเวียน โดยพลังงานน้ำเป็นแหล่งหมุนเวียนที่สำคัญ โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีแหล่งพลังงานน้ำอุดมสมบูรณ์ เช่น ในประเทศจีนแถบเสฉวนก่อนที่จีนจะห้ามเหมืองบิทคอยน์ และในประเทศแถบยุโรปและอเมริกาเหนือที่ใช้พลังงานลมและแสงอาทิตย์ร่วมด้วย
ส่วนพลังงานนิวเคลียร์ สัดส่วนที่มาจากพลังงานนิวเคลียร์ยังมีน้อยมาก โดยประมาณน้อยกว่า 5% ของการใช้พลังงานในการขุดบิทคอยน์ ซึ่งบางเหมืองขุดบิทคอยน์ในสหรัฐอเมริกามีการใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อความเสถียรของพลังงาน แต่ยังไม่แพร่หลายในระดับโลก
ขณะที่แนวโน้มในอนาคต มีความพยายามเพิ่มขึ้นในการใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการขุดบิทคอยน์ แต่เนื่องจากพลังงานฟอสซิลยังคงมีราคาถูกในบางภูมิภาค การเปลี่ยนผ่านจึงยังต้องใช้เวลา
อย่างไรก็ดีการโอนเหรียญครั้งล่าสุดนี้ทำให้เกิดการคาดเดากันอีกครั้ง แต่บริษัทยังไม่ได้ออกแถลงการณ์ต่อสาธารณะเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวดังกล่าว SpaceX ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนอีกแห่งของมัสก์ ยังคงถือครอง BTC จำนวน 8,285 BTC มูลค่ากว่า 553 ล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นหนึ่งในผู้ถือบิทคอยน์เอกชนรายใหญ่ที่สุด
ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์บิทคอยน์ของเทสล่าอาจระบุในรายงานทางการเงินไตรมาสที่ 3 ของบริษัท ซึ่งคาดว่าจะเผยแพร่ในวันที่ 23 ตุลาคมนี้
นอกจากนี้การตอบสนองของตลาดต่อการโอนย้ายบิทคอยน์ล่าสุดของ Tesla นั้นมีน้อยมาก โดยที่สกุลเงินดิจิทัลเรือธงนี้ยังคงแสดงสัญญาณขาขึ้นท่ามกลางความเชื่อมั่นของตลาดที่ต่อเนื่องสำหรับราคาที่สูงขึ้น
ณ เวลาที่เผยแพร่บทความนี้โดยอ้างอิงจากข้อมูลของ CryptoSlate ระบุว่าราคาบิทคอยน์มีการซื้อขายอยู่ที่ 67,270 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2.2% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา