นายนาวา จันทนสุรคน รองสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.ย.67 อยู่ที่ระดับ 87.1 ปรับตัวลดลง จาก 87.7 ในเดือน ส.ค.67 โดยมีปัจจัยด้านลบจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง สร้างความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนของประชาชน พื้นที่การเกษตร และอุตสาหกรรม รวมถึงพื้นที่การท่องเที่ยว และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม มูลค่าสูงถึง 30,000-50,000 ล้านบาท
ขณะที่กำลังซื้อในประเทศยังอ่อนแอจากแรงกดดันปัญหาหนี้ครัวเรือน ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย และการบริโภคสินค้าคงทนยังคงชะลอตัวลง สะท้อนจากยอดขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในประเทศช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.67) หดตัว 24% และ 11%YoY ตามลำดับ
นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการอนุมัติสินเชื่อ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการเบิกจ่ายงบลงทุนในโครงการของภาครัฐ โดย ณ วันที่ 27 ก.ย.67 เบิกจ่ายงบลงทุนได้เพียง 63.31% ส่งผลให้ยอดขายสินค้าวัสดุก่อสร้างชะลอลง อีกทั้งปัญหาการทุ่มตลาดของสินค้าจีน ยังส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตของไทย ขณะที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญการแข่งขันสูง การแข็งค่าของเงินบาทอย่างรวดเร็วกดดันภาคการส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหารที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก และกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย
โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจากระดับ 34.92 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือน ส.ค.67 เป็น 33.52 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือน ก.ย.67 ตามการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% สู่ระดับ 4.75-5.00% ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในเดือน ก.ย. ยังมีปัจจัยบวกจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 โดยการแจกเงินสด 10,000 บาท ให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ จำนวน 14.5 ล้านราย ช่วงวันที่ 25-30 ก.ย.67 ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ยังเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ทั้งนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-29 ก.ย.67 มีทั้งสิ้น 26,005,295 คน ขยายตัว 30% สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ มูลค่า 1,214,681 ล้านบาท และภาคการส่งออกปรับตีขึ้นต่อเนื่องตามการขยายตัวของอุปสงค์ในตลาดโลก เช่น สหรัฐฯ จีน อาเซียน ยุโรป อินเดีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง เป็นต้น และอัตราค่าระวางเรือ (Freight rate) ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะเส้นทางสหรัฐฯ และยุโรป ส่งผลให้ต้นทุนค่าขนส่งลดลง
สำหรับดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 96.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 95.2 ในเดือน ส.ค.67 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ มาตรการเสริมสภาพคล่องเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รวมถึงมาตรการ 10,000 บาท เฟส 2 จะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2567 การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วง High Season และได้รับผลบวกจากมาตรการส่งเสริมท่องเที่ยวภาครัฐ อานิสงส์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าของไทยในสินค้าปิโตรเคมี ยางพารา สินค้าอิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตาม ในเดือน ก.ย. ยังมีปัจจัยบวกจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 โดยการแจกเงินสด 10,000 บาท ให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ จำนวน 14.5 ล้านราย ช่วงวันที่ 25-30 ก.ย.67 ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ยและการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค
ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยที่ผู้ประกอบการยังห่วงกังวลจากสภาพอากาศที่แปรปรวนจากปรากฏการณ์ลานีญา ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรง กระทบต่อวัตถุดิบในภาคเกษตร ปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยืดเยื้อ เป็นความเสี่ยงต่อภาคการส่งออก รวมทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อนโยบายการค้าระหว่างประเทศและเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ส.อ.ท. มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ดังนี้
1.ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และลดความผันผวน รวมถึงพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สอดคล้องสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
2.ขอให้ภาครัฐพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติที่มีความแม่นยำถูกต้อง และสามารถแจ้งเตือนภัยแบบเรียลไทม์ (Real time) ผ่านโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการเร่งแก้ไขปัญหาการทำเกษตรในพื้นที่ป่า เพื่อรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำ ป้องกันปัญหาน้ำไหลหลาก และดินโคลนถล่ม
3.เสนอให้ภาครัฐพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 2567 เช่น มาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ เป็นต้น