จากสถิติที่ผ่านมา ปีที่เกิด Bitcoin Halving ผลตอบแทนของ Bitcoin ในช่วงไตรมาสสุดท้ายจะให้ผลเป็นบวกตลอดสามเดือน โดยเฉพาะเดือนตุลาคมที่มักจะให้ผลตอบแทนดีที่สุด อย่างไรก็ตามผ่านไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว แต่ราคา Bitcoin ยังไม่สร้างผลตอบแทนได้ตามที่คาดหวัง
เหตุผลอาจเป็นเพราะสภาวะตลาดของ Bitcoin ได้เปลี่ยนไปจากอดีตรวมถึงมีเหตุผลของเศรษฐกิจมหภาคเข้ามาเป็นตัวแปรดังต่อไปนี้
ข้อแรก..ปีนี้ไม่มีสภาพคล่องมากเท่ากับช่วงปี 2020 ช่วงเวลาดังกล่าวธนาคารกลางสหรัฐฯได้มีการปล่อยสภาพคล่องครั้งใหญ่ออกมาด้วยการทำ QE พร้อมกับการลดดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ทำให้มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ผลักดันราคา Bitcoin เป็นขาขึ้น
แต่ปี 2024 นี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯได้เริ่มทำการลดดอกเบี้ยลงแต่ไม่ได้มีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้ามาในระบบเพิ่มเติมทำให้ขาดเม็ดเงินที่จะเข้ามาผลักดันราคา Bitcoin
ข้อสอง..ตลาดยังกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอย แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะทำการลดดอกเบี้ยลง ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องซึ่งส่งผลบวกต่อราคาทองคำไปแล้ว แต่ Bitcoin มีค่าความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นสหรัฐฯในระดับสูงคือใกล้เคียง 1 ยังไม่กลับขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ได้จากความกังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากการที่ลดดอกเบี้ยช้าเกินไป ข้อสังเกตุคือนักลงทุนสถาบันยังคงถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯในระดับสูงไม่โยกเงินเข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยง
ข้อสาม..นักลงทุนยังจับตาผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯว่าจะเป็นโดนัลด์ ทรัมป์หรือกมลา แฮร์ริส ซึ่งนโยบายที่ดูจะส่งผลบวกต่อราคา Bitcoin มากที่สุดคือโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่กมลา แฮร์ริส ดูจะอ่อนด้อยกว่าประกอบกับประธาน ก.ล.ต.สหรัฐฯในยุคของพรรคเดโมแครตดูจะไม่เป็นมิตรต่อตลาดคริปโต
ข้อสี่..คือปัจจัยปลีกย่อยต่างๆอย่างเช่นความกังวลเกี่ยวกับสงครามในตะวันออกกลาง ตลอดจนการออกมาไล่ฟ้องบริษัททางด้านคริปโตของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามยังมีโอกาสที่ไตรมาสสี่นี้ ราคา Bitcoin รวมถึงตลาดคริปโตยังสามารถที่จะเป็นขาขึ้นได้จากการที่นักลงทุนจะเริ่มคลายกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆที่ออกมาช่วงหลังไม่ได้แย่มากนัก คาดว่านักลงทุนจะเริ่มย้ายเม็ดเงินออกจากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
ขณะเดียวกันเม็ดเงินลงทุนใน Bitcoin ETF ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแม้จะมีบางช่วงที่มีเม็ดเงินไหลออก แต่ระยะยาวนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนยอดเม็ดเงินยังคงเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นฐานแนวรับที่สำคัญของ Bitcoin
นอกจากนี้กมลา แฮร์ริส ยังเริ่มที่จะออกนโยบายที่สนับสนุนเทคโนโลยีอย่างเช่นเอไอและสินทรัพย์ดิจิทัลออกมา แม้จะไม่ได้ดึงดูดตลาดเท่ากับนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่อย่างน้อยก็จะไม่ส่งผลลบต่อตลาดมากนักเพราะไม่ได้มีนโยบายที่เป็นด้านลบต่อตลาด
ประเด็นสำคัญคือมีโอกาสที่สภาพคล่องทั่วโลกจะเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะจากนโยบายการอัดฉีดเศรษฐกิจของจีนน่าจะเป็นแรงผลักดันต่อราคา Bitcoin ได้โดยผู้เล่นสำคัญคือนักลงทุนสถาบันและที่ปรึกษาทางการเงินที่จะสนับสนุนการลงทุน Bitcoin ผ่าน ETF เนื่องจากที่ผ่านมามีนักลงทุนสถาบันตัวจริงที่ลงทุนใน Bitcoin ETF เพียงแค่ 10% ซึ่งหากจำนวนนี้เพิ่มขึ้น ราคา Bitcoin ก็มีโอกาสที่จะไปได้ไกล
จากปัจจัยทางเทคนิค เรามีโอกาสเห็นราคา Bitcoin ที่ระดับ 80,000 ดอลลาร์ ในปีนี้และแตะระดับ 100,000 ดอลลาร์ ภายในปีหน้าได้ โดยแนวรับสำคัญในเดือนนี้ไม่ควรต่ำกว่า 60,000 ดอลลาร์
หมายเหตุ บทความนี้เป็นการวิเคราะห์พื้นฐานเทคโนโลยีบล็อกเชน ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุนแต่อย่างไร
บทความนี้ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน นักลงทุนต้องพิจารณาโอกาสและความเสี่ยงหลายด้านก่อนตัดสินใจลงทุน
บทความโดย : ณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS)
สงวนลิขสิทธิ์บทความเฉพาะสื่อในเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ MGR online , iBit และ ที่ได้รับอนุญาติจากผู้เขียนซึ่งเป็นเจ้าของบทความเท่านั้น