นับตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนรวมวายุภักษ์ บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นกลับมาสู่ความคึกคักขึ้น ขณะที่ดัชนีหุ้นสามารถไต่ระดับขึ้นมายืนเหนือ 1,450 จุดได้ แม้นักลงทุนต่างชาติจะปักหลักเทขายหุ้นต่อเนื่องก็ตาม
“วายุภักษ์” เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา และซื้อหุ้นมาตลอด 9 วันทำการ โดยยอดซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบันใน 9 วันทำการ แยกเป็นยอดซื้อสูงกว่า 8 พันล้านบาท 7 วันทำการ ซื้อสูงกว่า 7 พันล้านบาท 2 วันทำการ ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นแรงซื้อของกองทุนวายุภักษ์
แต่เมื่อรวมยอดซื้อหุ้นสุทธิของนักลงทุนสถาบันนับจากต้นเดือนตุลาคม สิ้นสุดวันที่ 11 ตุลาคม มีจำนวนรวม 27,205.88 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างชาติมียอดขายหุ้นสุทธิ 17,205.72 ล้านบาท
ถ้าไม่มีกองทุนรวมวายุภักษ์ระดมเงิน 150,000 ล้านบาท เข้ามาช่วยพยุงตลาดหุ้น ดัชนีคงไม่สามารถตีฝ่าด่าน 1,450 จุดขึ้นมาได้ และอาจหลุดระดับ 1ป400 จุดลงไปแล้ว เพราะถูกต่างชาติถล่มขาย
ต่างชาติขายหุ้นติดต่อกันประมาณ 13 วันทำการแล้ว ขายตั้งแต่ก่อนกองทุนวายุภักษ์นำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเสียอีก และไม่มีสัญญาณการกลับมาซื้อหุ้นในระยะสั้น
การขายหุ้นสะท้อนว่า ต่างชาติอาจมีมุมมองในแง่ลบเกี่ยวกับเศรษฐกิจและตลาดหุ้น โดยมองว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น และตลาดหุ้นมีแนวโน้มซบเซา จึงลดความเสี่ยงโดยการขายหุ้น
รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้เปลี่ยนทัศนะของต่างชาติเกี่ยวกับตลาดหุ้นไทย โดยไม่ได้มองว่าบรรยากาศการลงทุนจะฟื้นคืนสู่ความสดใส และยังไม่ขนเงินกลับเข้ามาลงทุน
ดัชนีหุ้นที่วิ่งมาไกลถึงระดับ 1,470 จุด เพราะแรงซื้อของ “วายุภักษ์” แต่ไม่สามารถไปต่อจนทะลุ 1,500 จุดได้ เพราะถูกฉุดจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ และไม่มีปัจจัยหนุนใหม่เข้ามากระตุ้นตลาด ทำให้ปลายทางขาขึ้นรอบนี้อาจหยุดลงแถว 1,460-1,470 จุด
แม้หุ้นจะไปต่อลำบาก แต่นักลงทุนไม่ได้กังวลว่า ดัชนีจะเกิดความผันผวนรุนแรง เพราะมีกองทุนวายุภักษ์ที่พร้อมจะช้อนซื้อหุ้น ถ้าตลาดเกิดการทรุดหนัก
ตราบใดที่วายุภักษ์ยังมีเงินเหลือ ตลาดหุ้นจะมี "กันชน" ถ้ามีข่าวร้ายปัจจัยลบกระทบ หรือต่างชาติยังเทขายไม่เลิก
แต่ “วายุภักษ์” น่าจะทุ่มเงินใส่ตลาดหุ้นไปแล้วประมาณ 40,000 ล้านบาท ตลอด 9 วันทำการที่ซื้อหุ้นขนาดใหญ่เข้ากองทุน และลากดัชนีขึ้นมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบปี
เงินของกองทุนวายุภักษ์เริ่มร่อยหรอลง โดยอาจเหลือ 1 แสนล้านบาทเศษ ซึ่งหากอัตราการจับจ่ายหุ้นยังสูงเหมือน 9 วันที่ผ่านมา ความสามารถในการพยุงตลาดหุ้นจะลดลง และหากเกิดวิกฤตใหญ่อาจรับมือกับสถานการณ์ความผันผวนไม่ไหว
แม้ประมาณเดือนธันวาคม จะมีกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ TESG จัดตั้งขึ้น แต่คาดว่าจะระดมเงินได้ประมาณ 30,000 ล้านบาทเท่านั้น และจะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการพยุงตลาดหุ้น
แต่ถ้าต่างชาติไม่หยุดเทขายหุ้น แรงซื้อสมทบของกองทุน TESG อาจไม่ช่วยขับเคลื่อนให้ดัชนีสิ้นปีทะลุไปไกลเกิน 1,500 จุดมากนัก
การจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ ถือว่ากระทรวงการคลังมาถูกทางแล้ว ในการประคับประคองตลาดหุ้น และเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน แต่ความเชื่อมั่นเกิดขึ้นเฉพาะนักลงทุนในประเทศไทยเท่านั้น ส่วนนักลงทุนต่างชาติยังตั้งหน้าตั้งตาขายไม่เลิก
กองทุนวายุภักษ์จึงกลายเป็นโอกาสที่ต่างชาติได้จังหวะที่ดีในการขายหุ้นราคาสูงๆ
การพยุงตลาดให้กระเตื้องขึ้นมา แม้จะช่วยเรียกความมั่นใจของนักลงทุนในประเทศ แต่ต่างชาติก็ได้รับอานิสงส์ โยนหุ้นใส่มือวายุภักษ์ด้วยเหมือนกัน