พร้อมเพิ่มมาร์เกตแชร์ตลาดบ้านหรู "อีสเทอร์น สตาร์ฯ" วางกลยุทธ์เป้าความสำเร็จทางธุรกิจเติบโตปีละ 25% ติดต่อ 3 ปี (2567-2569) โชว์เงินสดในมือเยอะ ลุยขยายโครงการคอนโดฯ และแนวราบ ดันรายได้จาก 2,000 ล้านบาท ไปสู่ 4,000 ล้านบาท ประกาศปี 68 นำร่องอวดโฉมโครงการบ้านหรูแบรนด์ใหม่ครั้งแรก ริม ถ.พุทธมณฑลสาย 1 จับตลาดที่ถนัด 20-30 ล้านบาท มูลค่า 1,200 ล้านบาท จับสัญญาณธนาคารของรัฐ แกนหลักในการปล่อยสินเชื่อซื้อบ้าน
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจของบริษัทในปี 2568 ว่า บริษัทได้เตรียมความพร้อมที่จะลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่ๆ ต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมและขับเคลื่อนให้ธุรกิจมีรายได้ที่เติบโตเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 25% ต่อเนื่องไปถึง 3 ปี (2567-2569) พร้อมกับการวางกลยุทธ์รุกตลาดบ้านหรู โดยที่อ.บางฉาง จ.ระยอง วางเป้าที่ 1,000 ล้านบาท จับเซกเมนต์ที่ราคา 5-20 ล้านบาท ส่วนที่กรุงเทพฯ จะเน้นบ้านราคา 20 ล้านบาท การเปิดโครงการบ้านหรูเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจที่มากขึ้น ซึ่งแต่ละปีในกรุงเทพฯ จะพยายามเปิดให้ได้ 2 โครงการ ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมราคา 3-5 ล้านบาท ยังมีการพัฒนาต่อ เพื่อมาเติมเต็มรายได้จาก 2,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท จนไปถึง 4,000 ล้านบาท
"อีสเทอร์น สตาร์ฯ เป็นบริษัทเล็กๆ แต่เรามีเงินสดเยอะ เรามีที่ดินพัฒนาอยู่หลายแปลง แต่ในระยะ 3 ปี เราต้องมีแลนด์แบงก์เพิ่ม เพียงแต่เราต้องแม่น ที่ดินใกล้เมืองไม่ใหญ่ ไปได้เร็วภายใน 3 ปี แต่ถ้าเศรษฐกิจเปลี่ยน ดีขึ้น อาจจะเพิ่มพอร์ตแลนด์แบงก์ แต่ตอนนี้ เน้นที่ดินไซส์เล็กไปก่อน ราคา 500 ล้านบาท ถึง 1,000 ล้านบาท"
โดยในไตรมาส 3 จะเปิดตัวโครงการบ้านหรูแบรนด์ใหม่โครงการแรก ในระดับราคา 20-30 ล้านบาท อยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ ริมถนนพุทธมณฑลสาย 1 ตัดกับถนนราชพฤกษ์ บนเนื้อที่ 30 ไร่ มีจำนวน 57 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งแบบบ้านจะเริ่มต้นตั้งแต่ 100 ตารางวาตามที่กฎหมายผังเมืองกำหนดไว้
"ที่เลือกโซนฝั่งธนบุรีมากกว่าโซนเส้นบางนา-ตราด เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักมาจากโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลธนบุรี รวมถึงข้าราชการที่ทำงานอยู่ถนนราชดำริ และด้วยการเดินทางที่สะดวก นักธุรกิจที่อยู่เส้นสาทร สามารถมีอยู่ที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและมีสังคมที่ดีได้ เราจะเห็นว่า เศรษฐีชาวใต้อันดับต้นๆ อยู่ในบริเวณนี้เช่นกัน มีห้างสรรพสินค้าเยอะ น้ำไม่ท่วม และราคาที่ดินยังพอทำได้ ต่างกับเส้นบางนา-ตราด ราคาแพง และในเมื่อเราขยับมาจับบ้าน 20 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมถนัดและมีประสบการณ์ และผมคงไปไม่ถึงบ้านราคา 30-50 ล้านบาท หากมองศักยภาพโซนฝั่งธนบุรีแล้ว มีโครงการท็อปแบรนด์อยู่ กลุ่มลูกค้าเป็นแพทย์ ข้าราชการที่อยู่ในโรงพยาบาลศิริราช เดินทางมาได้สะดวกไปถึงใจการเมืองแถวสาทร ได้ ซึ่งเรามองว่า ตลาด 20 ล้านบาท มีดีมานด์ เราจะมั่นใจในการออกแบบแบบบ้าน มีสเปซและดีไซน์ที่ให้มากและถึงกว่าคู่แข่ง เช่น จอดรถได้ 4 คัน หรือมี 4 ห้องนอน เราเห็นโอกาส เพราะในเซกเมนต์ 20-30 ล้านบาท ดีเวลลอปเปอร์ไม่ค่อยลงมาจับตลาดตรงนี้มากนัก" นายไพโรจน์กล่าว และฉายภาพกลุ่มกำลังซื้อ 'เศรษฐี' ในประเทศไทยว่า
คนรวยที่มีบัญชีเงินฝากเกิน 10 ล้านบาทขึ้นไป มีเพียง 20,000 คน ซึ่งเป็นตลาดที่จำกัด ที่จะมีโอกาสจะซื้อบ้านในราคาเกิน 50 ล้านบาทได้ แต่ทำเลจะขยับไปอยู่ที่เลียบทางด่วนรามอินทรา เอกมัย ซอยอารีย์ พระราม 3 บ้าง แต่ถ้าหลุดจากโซนนี้ ไปพัฒนาบ้านในกลุ่ม 30-50 ล้านบาท อาจจะเหนื่อย แต่เซกเมนต์ที่ขายได้ดี คือ 10-25 ล้านบาท ตลาดยังมีการเติบโตและขายได้ แต่กลุ่มลูกค้าอายุน้อยร้อยล้าน เริ่มลดลงแล้ว
"แม้จะมีเรื่องของรีเจกต์เรตในกลุ่มบ้าน 10 ล้านบาทขึ้นมาแล้ว แต่ผมยังมั่นใจในเรื่องของโลเกชั่น ถ้าเราอยู่ในทำเล ใกล้งาน ใกล้โรงพยาบาล ใกล้สถานศึกษา ยังเป็นกำลังซื้อได้ แต่หากเราไปสร้างทำเลใหม่อันนี้ต้องระวัง เช่น ทำเลใกล้ริมแม่น้ำ เป็นต้น"
สำหรับภาพรวมการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงินนั้น นายไพโรจน์ กล่าวว่า ในไตรมาส 2 และ 3 ไม่ค่อยปล่อยสินเชื่อ มีการตั้งคะแนนไว้สูงมาก เช่น แต่ละธนาคามีแนวทางที่ต่างกัน บางธนาคาลดเป้าปล่อยสินเชื่อ หรือ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ไตรมาสแรกคุมและบริหารเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) แต่มาไตรมาส 2 และ 3 เริ่มปล่อยดีขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล ส่วนธนาคารกรุงไทย เริ่มกลับมาปล่อยสินเชื่อรายย่อยมากขึ้น และธนาคารออมสิน ที่ไตรมาส 4 จะกลับมาปล่อยเพื่อเพิ่มมาร์เกตแชร์ด้านนี้ ส่วนธนาคารเอกชนยังไม่เต็มที่ปล่อยสินเชื่อ ดังนั้น ในภาวะตลาดสินเชื่อตอนนี้ ธนาคารของรัฐจะเข้ามามีส่วนสำคัญในการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย
"ถามว่าผู้ซื้อกลุ่มไหนมีความเสี่ยง ต้องบอกว่า มนุษย์เงินเดือนทุกบัญชี เพราะเมื่อมีรายได้เป็นเงินเดือน จะมีโอกาสกู้ซื้อรถยนต์ เปิดบัตรเครดิต และบางคนอาจจะเริ่มมีบ้านหลังแรก แค่หนี้ 3 ก้อนผ่อนกันบานแล้ว บางรายผ่อนหนี้เกือบชนเพดานรายได้ ที่สำคัญ หากไม่มีรายได้จากการทำงานนอกเวลา (โอที) ไม่มีโบนัสด้วยแล้ว จะเตรียมตัวลำบาก อย่างลูกค้าที่ซื้อโครงการบ้านต่ำกว่า 20 ล้านบาท ต้องมีรายได้ 5 แสนบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้า SME แต่ถ้าเป็นคนทำงานต้องมีฐานเงินเดือน 3 แสนบาท อย่างลูกค้าของเราที่ บ้านฉาง ลูกค้าเรามีรายได้ 1-3 แสนบาท อายุประมาณ 25-40 ปี ทำงานในบริษัทใหญ่อย่าง ปตท. และเอสซีจี ถ้าเงินเดือนเกิน 5 แสนบาท จะอายุ 40 ปีขึ้นไป "นายไพโรจน์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปี 67 บริษัทมีแบ็กล็อกรอโอนในไตรมาส 4 ทั้งโครงการแนวสูงและแนวราบ ทั้งในกรุงเทพฯ และบ้านฉาง จ.ระยอง กว่า 700 ล้านบาท โดยเฉพาะโครงการคอนโดฯ “ควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์” ซึ่งมียอดแบ็กล็อกรอโอนประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งคาดการณ์ว่าจะทยอยโอนได้ในเดือน ต.ค.นี้ และจากความสำเร็จของการดำเนินงานในแต่ละโครงการที่เป็นไปตามแผน คาดว่าจะมีรายได้ทั้งปีตามเป้าที่วางไว้ 1,700 ล้านบาท
นอกจากนี้ ESTAR ยังมีแบ็กล็อกตุนไปถึงปี 2568 อีกประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมวางเป้ายอดโอนในปี 2568 เพิ่มขึ้นไปแตะที่ 2,000 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีโครงการอยู่ระหว่างการขายรวมมูลค่า 5,600 ล้านบาท