กลุ่มสยามกลการกางแผน 5 ปี ใช้งบลงทุน 9,500 ล้าน ขยายพอร์ต 5 ธุรกิจ Mobility Tech, Hospitality & Education, Property, Clean Technology, Digital Platform จ่อทุ่ม 1,500 ล้านบาทรุกธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ ล่าสุด แตกไลน์ธุรกิจบุกอาคารสำนักงานเช่า ปักหมุดย่านปทุมวัน จับดีมานด์ย่านใจกลางกรุง เปิดตัว “อาคารสยามปทุมวัน เฮ้าส์” อาคารสำนักงานอัจฉริยะระดับพรีเมียมเกรดเอแห่งแรกของบริษัท มูลค่าลงทุนกว่า 3,500 ล้านบาท ชู LEED ระดับโกลด์ Fitwel ระดับ 1 ดาว Wired Score ระดับแพลทินัม และ Smart Score ระดับโกลด์ เจาะดีมานด์ออฟฟิศเช่าเกรดเอในกลางกรุงเทพฯ
นายประกาสิทธิ์ พรประภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามกลการ จำกัด กล่าวว่า ว่า แผนโรดแมป 5 ปี ของกลุ่มสยามกลการ จะยังคงมุ่งขยายพอร์ตสู่ 5 ธุรกิจใหม่ ภายในปี 2573 ได้แก่ Mobility Tech, Hospitality & Education, Property, Clean Technology, Digital Platform โดยทั้งหมดนี้คาดว่าจะใช้งบลงทุนรวม 9,500 ล้านบาท ภายใน 3 ปี และตั้งเป้าในการเติบโตของรายได้กว่า 20% โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวมกว่า 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2 แสนล้านบาท โดยหลักๆ มาจากชิ้นส่วนยานยนต์ 80% ส่วนอีก 20% เป็นธุรกิจก่อสร้าง อุตสาหกรรมและเครื่องจักรกล อสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยวและบริการ โรงเรียนดนตรี และอื่นๆ
นอกจาก 5 แผนธุรกิจใหม่แล้วนั้น ประกาสิทธิ์ กล่าวว่า บริษัทยังมีแผนที่จะลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท ในการสร้างโรงเรียนนานาชาติที่พัทยา ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 3 ปี รวมทั้งการรีโนเวตอาคารสยามกลการเดิม บน ถ.พระราม 1 โดยการเปลี่ยนเป็นโรงแรมสูง 19 ชั้น และใช้เชนบริหารจากเครือ Pan Pacific Hotels Group คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2570 นอกจากนี้ มีแผนที่จะลงทุนทั้งคลังสินค้าและ Data Center ในนิคมอุตสาหกรรมที่ชลบุรีและฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร
นายประกาสิทธิ์ กล่าวว่า ล่าสุดได้ขยายไลน์สู่ธุรกิจอาคารเช่า โดยเตรียมเปิดให้บริการอาคารสยามปทุมวัน เฮ้าส์ ซึ่งเป็นโครงการใหม่ภายใต้กลุ่มธุรกิจการลงทุน 1 ใน 6 กลุ่มธุรกิจหลักของกลุ่มสยามกลการ ได้แก่ อุตสาหกรรมรถยนต์ อะไหล่ชิ้นส่วนรถยนต์ อุตสาหกรรมและเครื่องจักรกลหนัก การท่องเที่ยวและบริการ การศึกษา และเครื่องดนตรี และการลงทุนโครงการนี้ยังถือเป็นก้าวสำคัญของ SMG Next ซึ่งคือกลุ่มบริษัทที่เป็นธุรกิจใหม่ของกลุ่มสยามกลการ โดยการก่อสร้างอาคารเริ่มขึ้นด้วยพิธีวางศิลาฤกษ์ในเดือน เม.ย.64 และดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 66
“กลุ่มสยามกลการไม่เพียงแต่มีเป้าหมายที่จะกำหนดอนาคตของการทำงานด้วยอาคารสำนักงานระดับพรีเมียมเกรดเอนี้เท่านั้น แต่ยังมุ่งขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศไทยผ่านบริษัทในเครือของเรากว่า 69 แห่งทั่วตลาดต่างๆ เรามีการขยายการดำเนินธุรกิจไปยัง 6 ประเทศทั่วอาเซียนด้วย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตในภูมิภาคนี้เช่นเดียวกัน ในวันนี้ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้แนะนำอาคารสยามปทุมวัน เฮ้าส์ ให้ทุกท่านได้รู้จัก และหวังว่าอาคารนี้จะเป็นแบบอย่างให้อนาคตของพื้นที่สำนักงานที่ส่งเสริมนวัตกรรม ความยั่งยืน และสภาพแวดล้อมการทำงานที่สมดุลสำหรับทุกคน”
สำหรับอาคารสยามปทุมวัน เฮ้าส์ เป็นอาคารสูง 33 ชั้น มีความสูง 136 เมตร และมีพื้นที่ให้เช่าสำนักงานและพื้นที่ร้านค้าปลีกทั้งหมด 51,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนถนนพญาไทในพื้นที่ย่านสยามสแควร์ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางการเชื่อมต่อที่เพียบพร้อมด้วยตัวเลือกการเดินทาง เช่น ทางเชื่อมลอยฟ้าโดยตรงจากตัวอาคารไปยัง ONESIAM ลานเชื่อมแยกปทุมวัน รถไฟฟ้าบีทีเอส รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ท่าเรือ และทางด่วนหลายสาย
นอกจากนี้ ยังตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่สำคัญทางการค้าและวัฒนธรรม อย่างสยามพารากอน ศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ และหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยทำเลชั้นเยี่ยมและการเชื่อมต่อชั้นยอดนี้จึงทำให้ผู้ใช้อาคารสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย เพิ่มดุลยภาพให้การทำงานและการใช้ชีวิต รวมถึงความสะดวกสบายโดยรวม
ตั้งแต่ระบบความปลอดภัย Hitachi Smart Building Platform ที่มีทั้งการจดจำใบหน้า การจัดการการเข้าถึงแบบอัจฉริยะ และการเฝ้าระวังที่ครอบคลุม ในขณะเดียวกัน มีการควบคุมอุณหภูมิภายในอาคารให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมด้วยเทคโนโลยี VRV (Variable Refrigerant Volume) ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีฟีเจอร์ด้านความยั่งยืน เช่น เซ็นเซอร์แสงและการเคลื่อนไหว กระจกสะท้อนกันความร้อน สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ระบบประหยัดน้ำ ระบบบำบัดน้ำเสีย และอีกมากมาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ อาคารสยามปทุมวัน เฮ้าส์ ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED ระดับโกลด์ และ Fitwel ระดับ 1 ดาว
"ปัจจุบัน อาคารสยามปทุมวัน เฮ้าส์ ได้เป็นบ้านให้บริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น สยามดนตรียามาฮ่า นิสสัน เทรดดิ้ง ไดกิ้น คริสเตียน ลูบูแตง ฮิตาชิ เอลลิเวเตอร์ แอกซ่า ประกันภัย บิวเทรี่ยม อันเดอร์ อาร์เมอร์ และอีกมากมาย โดยรายชื่อบริษัทเหล่านี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความน่าดึงดูดใจของอาคารที่มีต่อบริษัทต่างๆ ที่มองหาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจสุดพิเศษและไม่มีใครเทียบได้"