นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (2 ต.ค.) ที่ระดับ 32.55 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 32.59 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.65 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ) โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 32.50-32.65 บาทต่อดอลลาร์)
โดยแม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้น ตามรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงบรรยากาศในตลาดการเงินที่กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น หลังอิหร่านเปิดฉากโจมตีอิสราเอล ซึ่งสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้นมีส่วนหนุนให้ราคาทองคำทยอยปรับตัวสูงขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงคืนที่ผ่านมา
แม้ว่ารายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะออกมาดีกว่าคาด ทว่าบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น โดยผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะขายทำกำไรหุ้นเทคฯ ใหญ่ เช่น Nvidia -3.7%, Apple -2.9% อย่างไรก็ดี สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวได้หนุนให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น และช่วยให้บรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น เช่น Exxon Mobil +2.3% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.93%
สำหรับวันนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ที่สำรวจโดย ADP ในเดือนกันยายน ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะใช้ประกอบการประเมินแนวโน้มยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ที่จะรายงานในวันศุกร์นี้ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
ส่วนฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB
และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่าผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิดว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นและลุกลามบานปลาย จนส่งผลกระทบในวงกว้างหรือไม่ โดยต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ความขัดแย้งดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง รวมถึงส่งผลกระทบต่อโฟลว์การขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มพลังงานมากน้อยเพียงใด
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังพอมีกำลังอยู่ หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นตามการปรับลดความคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงบรรยากาศของตลาดการเงินที่กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี เรามองว่าการอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด ตราบใดที่ราคาทองคำยังสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้ จนกว่าผู้เล่นในตลาดจะคลายกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจใช้เวลาหลายวัน จนถึงระดับ 1-2 สัปดาห์ได้ โดยต้องจับตาท่าทีของทางการอิสราเอลในการตอบโต้การโจมตีรอบล่าสุดจากทางอิหร่าน เพราะหากอิสราเอลตอบโต้กลับในลักษณะที่ไม่ต่างจากช่วงก่อนหน้า อาจสะท้อนว่า ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะไม่ได้ทวีความรุนแรงและลุกลามบานปลายมากขึ้น อนึ่ง ในระยะสั้น ความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน อาจหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นได้ในระยะสั้น ซึ่งต้องระวังความเสี่ยงของการเกิด Short Squeeze หลังในช่วงที่ผ่านมาผู้เล่นในตลาดมีการสะสมสถานะ Net Short น้ำมันดิบไว้พอสมควร ซึ่งการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในช่วงระยะสั้นอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้
จากโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะสั้น รวมถึงมุมมองของเราที่คงเชื่อว่า ผู้เล่นในตลาดจะทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงความเสี่ยงที่ราคาทองคำอาจกลับมาย่อตัวลงบ้าง หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางทยอยคลี่คลายลงได้ ทำให้เรามองว่า เงินบาทอาจผ่านจุดแข็งค่าสุดไปแล้วในระยะสั้น (Call Bottom USDTHB แถว 32.00 บาทต่อดอลลาร์) แต่เราจะมั่นใจมากขึ้นว่า เงินบาทจะสามารถทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้จริง หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.80 บาท ต่อดอลลาร์ และโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ชัดเจน ซึ่งอาจจะต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้
ทั้งนี้ เรามองว่าควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้บ้าง
เราขอย้ำมุมมองเดิมว่า ในเชิง Valuation การแข็งค่าของเงินบาทมากกว่าโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์นั้น ถือว่า เป็นระดับที่ Overvalued มากขึ้น (Z-Score ของดัชนีค่าเงินบาท REER เกินระดับ +1.0 หากเงินบาทแข็งค่าหลุด 32.00 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งหากปัจจัยพื้นฐานไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เงินบาทไม่ควรแข็งค่าเกินระดับดังกล่าวไปมากนัก ทำให้ผู้ประกอบการอย่างฝั่งผู้นำเข้าควรเตรียมพร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือสกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้