xs
xsm
sm
md
lg

THG เสี่ยงตั้งสำรองเพิ่ม ปัญหากดดันกำไรธุรกิจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ประเมินทิศทาง “กลุ่มธนบุรี เฮลท์แคร์” หลังเกิดปัญหาการควบคุมภายใน กูรูคาดมีความเสี่ยงทางการเงิน มองไตรมาส 3/67 อาจขาดทุน จนกดดันค่าใช้จ่ายเพิ่ม ทำให้กำไรดำเนินงานลดลง แถมภาพลักษณ์เสียหาย และจำเป็นต้องตั้งสำรองเพิ่ม นำไปสู่การปรับลดคำแนะนำเป็น “ขาย”

นอกเหนือจากราคาหุ้นที่ลดลงไปมาก หลังมีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เจ้าของโรงพยาบาลธนบุรี สิ่งที่น่าสนใจต่อจากนี้ คือ แนวโน้มหรือทิศทางธุรกิจของบริษัท เมื่อมีการเปลี่ยนมือผู้กุมอำนาจใหญ่ของกลุ่มจาก “กลุ่มวนาสิน” กลายเป็น “นายแพทย์เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์” อดีตประธานกรรมการบริษัท และประธานกรรมการบริหารของ บมจ.โรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) เข้ามาเป็นประธานกรรมการบริษัท THG แทน “จารุวรรณ วนาสิน” นั้นจะเดินไปในทิศทางใด และจะสามาถฟื้นคืนผลประกอบการ รวมถึงธุรกิจให้กับมาเฉิดฉายได้อีกครั้งหรือไม่

เหตุการณ์เกิดขึ้น เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท THG ครั้งที่ 16/2567 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 เพื่อให้คณะกรรมการของบริษัทฯ หาทางแก้ไขเหตุการณ์ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากธุรกรรมผิดปกติอย่างโปร่งใส พร้อมกับมีข่าวลือว่า นี่คืออีกมาตรการที่คณะกรรมการบอร์ด THG นำมาใช้กันกลุ่มผู้ปลุกปั้นโรงพยาบาลธนบุรีอย่าง “กลุ่มวนาสิน” เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในระหว่างการตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น

และนั่นทำให้อำนาจบอร์ด THG นับจากนี้ จะถูกควบคุม "กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง" หรือ RAM ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งใน THG ในสัดส่วน 24.59% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด พร้อมกับสิ่งที่หลายต่อหลายคนเชื่อ นั่นคือ จะเกิดการเดินหน้าเอาผิดกับผู้ที่กระทำผิดอย่างไม่จำเป็นต้องเกรงใจ

ย้อนเหตุวิกฤต THG

สำหรับปัญหาที่นำมาสู่เหตุการณ์ในครั้งนี้ เกิดจาก THG แจ้งต่อ ตลท. เมื่อ วันที่ 20 กันยายน 2567 ว่าพบความผิดปกติของธุรกรรมการกู้ยืมเงิน และการสั่งสินค้าของบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง จำกัด (THB) ซึ่ง THG ถือหุ้นอยู่ 83.03% และ บริษัท ที เอช เฮลท์ จำกัด (THH) ซึ่ง THG ถือหุ้นอยู่ 51.22% โดยพฤติการณ์น่าสงสัยคือ

1.ทั้ง THB และ THH ได้ปล่อยกู้เงินกับบริษัท บริษัท ราชธานีพัฒนาการ (2014) จำกัด (RTD) ซึ่งมี "ครอบครัววนาสิน" เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ถึงปี 2566 ทั้งหมด 6 รายการ เป็นเงินจำนวน 145 ล้านบาท

2. THB ยังให้กู้ยืมเงินแก่บริษัท ไทย เมดิเคิล กรุ๊ป จำกัด (TMG) ซึ่งเป็นบริษัทที่ RTD เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในปี 2566 จำนวนทั้งสิ้น 1 รายการ คิดเป็นยอดเงินรวมทั้งหมด 10 ล้านบาท

3.THH มีการสั่งซื้อสินค้าจากบริษัทซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นในประเทศสิงคโปร์ แต่ไม่ได้มีการรับมอบสินค้าจริง ในปี 2566 จำนวนทั้งสิ้น 2 รายการ คิดเป็นยอดเงิน 55 ล้านบาท รวมธุรกรรมน่าสงสัยทั้งหมด 210 ล้านบาท

คำชี้แจงจาก“หมอบุญ”

ขณะที่ “นพ.บุญ วนาสิน” อดีตประธานกรรมการ และผู้ก่อตั้ง THG ออกมาชี้แจงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องการเข้าใจผิดภายในองค์กร ไม่มีการทุจริต และเงินไม่ได้หาย พร้อมยอมรับว่ามีการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศสิงคโปร์จริง แต่บริษัทไม่ได้รับมอบสินค้า ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทเข้ามารับผิดชอบค่าเสียหายดังกล่าวแล้ว คิดเป็นจำนวน 110 ล้านบาท ไม่ใช่ 210 ล้านบาท ส่วน THG ไม่ต้องแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมกับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพราะมีการคุยกันภายในเรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม การออกมาชี้แจงของ “นพ.บุญ” กลับทำให้ ตลท.มีข้อสงสัยเพิ่มเติม และถามกลับไปยัง THG อีกครั้ง ทำให้ล่าสุด “ณัฐธกานต์ จิตติณพัฒน” เลขานุการ THG ชี้แจงว่า บริษัทฯ ยืนยันข้อมูลและข้อเท็จจริงของเรื่องธุรกรรมที่ชวนสงสัยตามที่ปรากฏในหนังสือที่แจ้งต่อ ตลท.ทุกประการ และอยากให้ติดตามข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนเป็นทางการผ่านเว็บไซต์ของบริษัทฯ และตลาดหลักทรัพย์ฯ เท่านั้น

พร้อมกันนี้ THG อยู่ระหว่างวิเคราะห์ผลกระทบของเหตุการณ์ที่อาจมีต่อฐานะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน และความเสี่ยงโดยรวมถึงวิเคราะห์กระบวนการควบคุมภายใน เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

โดย ณ ปัจจุบัน ยอดหนี้คงค้างของรายการอันควรสงสัยดังกล่าว รวมทั้งสิ้นประมาณ 105 ล้านบาท และคาดว่าหากมีผลกระทบจะสามารถเปิดเผยได้ในงบการเงินไตรมาส 3/2567 ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำและเปิดเผยให้ผู้ลงทุนทราบต่อไป

ยิ่งชี้แจงยิ่งชวนให้คิด

อย่างไรก็ตาม คำชี้แจงของ “นพ.บุญ” ถูกหักล้าง ไม่มีน้ำหนักรับฟัง นั่นเพราะอดีตประธานกรรมการบริษัท หรือบุคคลอื่น ซึ่งไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ผู้บริหาร หรือพนักงานที่ได้รับมอบหมาย การให้ความเห็นจึงไม่ใช่การดำเนินงานของบริษัท

กลับกันการออกมาชี้แจงของอดีตประธานกรรมการบริหาร THG กลับทำให้หลายคนชวนให้คิดว่า “นพ.บุญ” เข้าไปเกี่ยวพันกับข้อชวนสงสัยที่ฝ่ายบริหาร THG ตั้งไว้หรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่า จะเป็นเบาะแสในการตรวจสอบและสอบสวนการกระทำความผิดของธุรกรรมการปล่อยเงินกู้ “กลุ่มวนาสิน” และคำสั่งซื้อสินค้าที่ชำระเงินแล้ว แต่ไม่มีสินค้าส่งมอบ นั่นเอง

ไม่เพียงเท่านี้ “นพ.บุญ” ยังมีคดีค้างอยู่กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในความผิดการเผยแพร่ข้อมูลอันก่อให้เกิดความสำคัญผิดเกี่ยวกับผลดำเนินงาน หรือข้อมูลอื่นของ THG โดยให้ข่าวจะเซ็นสัญญาซื้อขายและนำเข้าวัคซีนป้องกัน Covid-19 และถูก ก.ล.ต.ลงโทษปรับ 2.34 ล้านบาท แต่กลับไม่ยอมจ่ายค่าปรับ ก.ล.ต.จึงส่งเรื่องให้อัยการฟ้องบังคับคดีในทางแพ่ง และผลแห่งการลงโทษ ทำให้ท้ายที่สุดต้องพ้นจากตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท และปัจจุบันไม่มีฐานะใดๆ ใน THG


ลงทุนเยอะกระทบธุรกิจ

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 ของ THG พบว่าบริษัทมีรายได้รวม 2,362 ล้านบาท กำไรสุทธิ 52 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2567 ของ THG ทำรายได้รวม 4,699 ล้านบาท กำไรสุทธิงวด 6 เดือนแรก อยู่ที่ 74 ล้านบาท

ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 2566 THG มีรายได้รวมอยู่ที่ 9,844 ล้านบาท ลดลง 15% จากปี 2565 ที่มีรายได้ 11,540 ล้านบาท โดยในปี 2566 บริษัทมีกำไร 393 ล้านบาท ลดลง 76.6% จากปี 2565 ที่มีกำไร 1,677 ล้านบาท

ด้านผู้บริหาร THG ยอมรับว่า การขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องของกลุ่ม ทำให้ผลประกอบการถูกกดดันจากต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น ทั้งการก่อสร้างอาคารและติดตั้งเครื่องมือแพทย์ในโรงพยาบาลธนบุรีวัฒนา และโรงพยาบาลในภูมิภาคหลายแห่ง รวมทั้งผลกระทบจาก 2 โครงการขนาดใหญ่ คือ โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ และโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง ซึ่งลงทุนและเปิดตัวช่วงวิกฤต Covid-19 ที่ภาวะเศรษฐกิจชะงัก ทำให้การเติบโตไม่เป็นตามเป้าหมาย

และจากการลงทุนจำนวนมหาศาลของ THG จนผลประกอบการไม่เติบโตตามเป้าหมาย ทำให้มีกระแสข่าวว่า “นพ.บุญ” มีหนี้สินส่วนตัวและหนี้สินที่เกี่ยวพันกับ THG ช่วงนั่งบอร์ดบริหารทั้งในระบบและนอกระบบ รวมกันสูงกว่า 7,000 ล้านบาท โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการ โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง ที่มากกว่า 4,000 ล้านบาท และ โครงการ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ มูลค่าลงทุนกว่า 4,400 ล้านบาท (เฟสแรก) บนพื้นที่ 140 ไร่ ริมถนนพหลโยธิน ย่านรังสิต จังหวัดปทุมธานี ต่อมามีการชี้แจงจาก “นพ.บุญ” ว่า เป็นเรื่องที่คนไม่รู้จริงพูดกันไป นั่นเพราะบริษัทฯ เตรียมแผนลงทุนไว้ 8 โครงการ วงเงินลงทุน 20,000 ล้านบาท เพียงแต่ยังไม่ได้แถลงข่าวให้ชัดเจน

ไม่เพียงเท่านี้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ THG ได้ปรากฏมีกระแสข่าว “นพ.บุญ” มีการนำหุ้น THG มาค้ำประกันเพื่อขอสินเชื่อผ่านตลาดหุ้น และนอกตลาดหุ้น และในที่สุดมีรายงานว่า เจ้าหนี้โบรกเกอร์แห่งหนึ่งที่รับหุ้น THG ไว้ค้ำประกัน มีการออกมาขอแลกเปลี่ยนเจ้าหนี้ (Roll Bet) เพราะเริ่มไม่มั่นใจในฐานะการเงินของบริษัท จนนำไปสู่ความสามารถนำเงินมาไถ่ถอนนำหุ้นกลับไปได้หรือไม่

นั่นเพราะเนื่องจากมีการนำเสนอหุ้นสามัญเพิ่มทุน THG ที่เพิ่งได้รับอนุมัติจาก ผู้ถือหุ้นไป แต่ยังไม่ได้ประกาศรับสิทธิ มาเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันให้กับ เจ้าหนี้เพิ่ม จนส่งผลทำให้ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดความวุ่นวายในโบรกเกอร์หลายแห่ง ซึ่งหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว เกิดขึ้นตามมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ประจำปี 2567 ของ THG มีมติอนุมัติ ขายหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 84 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) หุ้นละ 1 บาท มูลค่ารวม 84 ล้านบาท ให้กับผู้ถือหุ้นเดิม หรือประชาชนทั่วไป หรือ บุคคลในวงจำกัด เพื่อใช้ในการลงทุน หรือในกิจการ และ/หรือ บริษัทอื่น ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง การลงทุน ในหุ้นสามัญ หรือสินทรัพย์ เป็นต้น รวมทั้งใช้ในการขยายกิจการในอนาคตของบริษัทและเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

ต่อมามีการสอบถามไปยัง “นพ.บุญ” ถึงเรื่องดังกล่าว และได้รับการปฏิเสธว่าไม่เคยนำหุ้น THG ที่ถือไปจำนำ หรือกู้เพื่อขอสินเชื่อ

มีความเสี่ยงในการชำระหนี้

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ THG ว่า พบการกระทำที่น่าสงสัยเกี่ยวกับ THB และ THH โดย THG รายงานการพบธุรกรรมที่น่าสงสัยเกี่ยวกับบริษัทย่อยสองแห่งคือ บริษัท โรงพยาบาลธนบุรี บารุงเมือง จำกัด (THB) และบริษัททีเอช เฮลท์ จากัด (THH)

ทั้งนี้ ธุรกรรมเหล่านี้รวมถึง : 1) เงินกู้ที่ THB และ THH ให้แก่บริษัท ราชธานีพัฒนาการ (2014) จำกัด (RTD) ซึ่งมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ ตระกูลวนาสิน (ตระกูลผู้ก่อตั้ง THG) มีการทำธุรกรรม 6 ครั้งตั้งแต่เดือนธันวาคม 2022 ถึง 2023 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 145 ล้านบาท

2) เงินกู้จำนวน 10 ล้านบาท ที่ THB ให้แก่ บริษัท ไทย เมดิคอล กรุ๊ป จากัด ซึ่ง RTD เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ในปี 2023 และ 3) การสั่งซื้อสินค้าโดย THH ในปี 2023 จากบริษัทที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ แต่ไม่มีการส่งมอบสินค้าให้กับบริษัท โดยมีการทำธุรกรรมสองครั้ง รวมมูลค่าทั้งสิ้น 55 ล้านบาท ปัจจุบันยอดหนี้คงค้างทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมที่น่าสงสัยเหล่านี้มีมูลค่าประมาณ 105 ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย)

โดยบริษัทได้ให้ข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับเงินกู้ให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยชี้แจงว่าการกระทำผิดนั้นเกี่ยวข้องกับวงเงินสินเชื่อภายในที่ให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง มากกว่าความเสี่ยงในการผิดนัดชาระหนี้ หลังจากได้รับการชำระคืนบางส่วนจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง THG มียอดหนี้คงค้างรวม 50 ล้านบาท

ส่วนกรณีการสั่งซื้อที่ไม่ได้รับการส่งมอบ ทั้งนี้ บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกรรมที่น่าสงสัย THG ได้ถอดถอนบุคลากรที่เกี่ยวข้องออกจากตำแหน่งที่เกี่ยวข้องแล้ว ดังนั้น ปัจจุบัน THB ดำเนินการโดยทีมผู้บริหารชุดเดียวกับ TH1

นั่นทำให้ บล.ทิสโก้เห็นถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการผิดนัดชำระหนี้คงค้าง รวมถึงความเสี่ยงของการทุจริตเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ซื้อมา จึงตัดจำหน่ายเงิน 105 ล้านบาท ออกจากกำไรที่คาดการณ์ในปี 2024 ผ่านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ บล.ทิสโก้ ยังได้ปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสำหรับปี 2024-2026 ขึ้น 2-4% เพื่อรวมต้นทุนที่สูงขึ้นที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงระบบภายในเพื่อความโปร่งใส จากการปรับต้นทุนดังกล่าว EBITDA สำหรับปี 2024-2026 ลดลง 8%, 4% และ 4% ตามลำดับ โดยปรับลดคำแนะนาจาก "ถือ" เป็น "ขาย" พร้อมจับตาความเสี่ยงในอนาคตในแง่ของข่าวนี้ จึงลดมูลค่าที่เหมาะสมจาก 28.00 บาท เป็น 21.60 บาท โดยใช้ช่วง EV/EBITDA ล่วงหน้าที่ต่ำลง จาก -1SD เป็น -1.5SD (จาก 19 เท่า เป็น 16.7 เท่า) เพื่อรวมความเสี่ยงของธุรกรรมที่น่าสงสัย ซึ่งมีปัจจัยบวกได้แก่

1) การชำระหนี้คืนจาก RTD และบริษัท ไทย เมดิคอล กรุ๊ป จากัด และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จัดหาโดยบริษัท

2) การฟื้นตัวของรายได้โรงพยาบาล THB ที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และ 3) การฟื้นตัวของยอดขายที่พักอาศัย Jin Wellbeing ที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้คงคำแนะนำ "ขาย" สาหรับ THG โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 21.60 บาท

กระทบภาพลักษณ์บริษัท

ขณะที่ บล. กรุงศรี มองว่าประเด็นที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาการควบคุมภายใน ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์บริษัท ในเบื้องต้นประเมิน THG อาจต้องตั้งสำรองค่าใช้จ่ายหนี้สูญราว 110 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2567 (สมมุติฐานอัตราดอกเบี้ย 7% ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2566-ก.ย. 2567) โดยในไตรมาส 3/2567 คาดว่าผลการดำเนินงานของ THG มีโอกาสขาดทุน หากต้องตั้งค่าใช้จ่ายสำรองหนี้เป็นมูลค่าตามที่ประเมิน ทั้งนี้หากไม่รวมการตั้งสำรอง คาดธุรกิจปกติจะมีกำไรลดลงเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) โดยไตรมาส 3/2566 มีกำไร 308 ล้านบาท

นั่นเพราะเนื่องจากคาดว่าธุรกิจโรงพยาบาล มีผลกระทบต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการขยายศักยภาพให้บริการของโรงพยาบาลธนบุรี 1 (เพิ่มห้องตรวจ OPD 80 ห้อง) โรงพยาบาลธนบุรี ทวีวัฒนา (เพิ่มห้องตรวจ OPD 45 ห้อง, IPD 49 เตียง), โรงพยาบาลราษฎร์ยินดี (เพิ่มห้องตราจ OPD 5 ห้อง)

ทั้งนี้เทียบจากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) คาดกำไรเติบโต โดยไตรมาส 2/2567 มีกำไร 43 ล้านบาท มีปัจจัยบวกฤดูกาลของการใช้บริการเพิ่มขึ้น ประกอบกับคาดผลกระทบของค่าใช้จ่ายปรับโครงสร้างลดลง และโรงพยาบาลในเมียนมาไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ นำไปสู่การปรับกำไรสุทธิปี 2567 ลงจากเดิม 69% เป็น 122 ล้านบาท (เดิม 393 ล้านบาท) ส่วนปี 2568-2569 ปรับกำไรสุทธิลง 43% และ 40% เป็น 340 ล้านบาท (เดิม 600 ล้านบาท) และกำไรสุทธิ 495 ล้านบาท (เดิม 825 ล้านบาท) ตามลำดับ

สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อน 1.โครงสร้างโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง ทำให้มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายสูงกว่าคาดเดิม 2.รวมค่าใช้จ่ายพิเศษของโรงพยาบาลในเมียนมาที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2/2567 มีมูลค่าราว 10 ล้านบาท และ 3.รวมสมมุติฐานค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่คาดว่าจะบันทึกในไตรมาส 3/2567 ราว 110 ล้านบาท

จึงคงคำแนะนำ "ลดการลงทุน" สำหรับหุ้น THG ประเมินราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 22 บาท (เดิมราคาเป้าหมายปีนี้ 30 บาท) เนื่องจาก 1.ผลการดำเนินงานปีนี้จะแย่กว่ากลุ่ม จากผลกระทบปรับโครงสร้างโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง ธุรกิจที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุ และค่าใช้จ่ายพิเศษ

2.ไตรมาส 3/2567 มีโอกาสขาดทุน หากต้องตั้งสำรองค่าใช้จ่ายหนี้สูญ และ 3.ปัญหาการควบคุมภายในบริษัท ส่งผลลบต่อภาพลักษณ์บริษัทเพิ่มเติมจากกรณีผู้บริหาร ถูกสำนักงาน ก.ล.ต.สั่งปรับฐานให้ข้อมูลมีผลต่อราคาหุ้นเมื่อเดือน ส.ค. 2565 ทำให้เป็นความเสี่ยงด้านอันดับเครดิตองค์กร ซึ่งอาจกระทบต้นทุนเงินทุนในอนาคต

นอกจากนี้ THG มีมูลค่าหุ้น (Valuation) แพงสุดในกลุ่มโรงพยาบาลที่ศึกษา จากซื้อขาย P/E ปี 2568 ที่ 63 เท่า สูงกว่า P/E เฉลี่ย 34 เท่า ของกลุ่มโรงพยาบาลที่ศึกษา


กำลังโหลดความคิดเห็น