โบรกฯ ประสานเสียงสิ้นเดือน ก.ย.นี้ มีโอกาสเกิด Window Dressing จากปัจจัยหนุนการซื้อหุ้นของกองทุนวายุภักษ์ช่วงต้นเดือน ต.ค. และฟันด์โฟลว์ไหลเข้าต่อเนื่อง เชื่อช่วยดัน SET ไม่ให้หลุดระดับ 1,450 จุด มีลุ้นปลายปีแตะ 1,510 จุด กลยุทธ์ลงทุนเน้นซื้อหุ้น Domestic play เชียร์ CPALL CPN CRC LH ERW BAM PTG
ASPS มองสิ้น ก.ย.นี้ มี Window Dressing ดัน SET แตะ 1,510 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชียพลัส เปิดเผยว่า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ มีโอกาสสูงที่จะเกิดการทำ Window Dressing ในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากมีเม็ดเงินจำนวนมากจากกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ที่จะเริ่มซื้อหุ้นไทยในเดือน ต.ค.ที่จะถึงนี้ ประกอบกับเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ (Fund flow) ยังไหลเข้าหุ้นไทยต่อเนื่อง ตลอดจนผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในช่วงไตรมาส 3/67 มีแนวโน้มไม่ได้แย่เหมือนปีก่อนๆ (ปกติเป็นโลว์ซีซันของปีกดดันผลการดำเนินงาน บจ.รวมอ่อนแอ)
อย่างไรก็ดี คงไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่าเมื่อเกิด Window Dressing แล้ว จะผลักดันดัชนีหุ้นไทยให้ปรับตัวขึ้นได้กี่จุด แต่อยากให้มองว่าเมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้มีสภาพคล่องเข้ามาหนุนหุ้นไทยมากขึ้น ส่งผลให้โอกาสที่จะเห็น SET Index แตะระดับ 1,510 จุด ณ สิ้นปีนี้มีโอกาสได้เช่นกัน
"แม้ SET Index จะปรับตัวขึ้นมาร้อนแรงในช่วงราว 1 เดือนที่ผ่านมา แต่ยังเเนะนำถือหุ้นเต็มพอร์ต และยังซื้อต่อได้ เนื่องจากยังพอมีอัปไซด์ที่จะทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นได้ต่อ แนะนำสะสมหุ้น Domestic play มี TOP PICK คือ CPALL CPN และ TASCO" นายเทิดศักดิ์ กล่าว
CGSI มองหุ้นรับบาทแข็ง-หุ้นวายุภักษ์ เป้าหมายทำ Window Dressing
นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ประเมินในช่วงสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการปิดงบการเงินไตรมาส 3/67 ทำให้มีโอกาสค่อนข้างสูงที่ในตลาดหุ้นไทยจะเกิดการทำ Window Dressing ค่อนข้างแน่
อย่างไรก็ตาม มองว่าการทำ Window Dressing ในช่วงเดือน ก.ย.นี้ อาจจะไม่ใช่เม็ดเงินจำนวนมากสักเท่าไร เพราะคาดว่า การทำ Window Dressing รอบที่จะถึงนี้ หุ้นที่เป็นเป้าหมายมีเพียงแค่ 2 กลุ่มเท่านั้น คือ 1.กลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากเงินบาทแข็งค่า และ 2.หุ้นที่เป็นเป้าหมายการซื้อของกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ที่จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นเดือน ต.ค.นี้
" Window Dressing รอบนี้จะช่วยหนุนดัชนีให้ปรับตัวขึ้นได้แค่ไหนยังตอบไม่ได้ เพราะยังไม่มีปัจจัยใดที่สามารถการันตีได้ว่าเมื่อเกิด Window แล้วจะผลักดันให้ดัชนียปรับตัวขึ้นได้ระดับ 10-20 จุด แต่มั่นใจว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น และจะช่วยพยุง SET Index ไม่ให้หลุดระดับ 1,450 จุด และผลักดันให้ไปแตะระดับ 1,500 จุด ในช่วงปลายปี" นายกรรณ์ กล่าว
ส่วนกลยุทธ์ลงทุนในช่วงนี้ แนะนำนักลงทุนแบ่งซื้อหุ้น Domestic play เป็นหลัก โดยมีหุ้นแนะนำ 5 บริษัท ประกอบด้วย CRC LH ERW BAM และ PTG เป็นต้น
ลิเบอร์เรเตอร์มองหุ้นไทยมีโมเมนตัมไปต่อ คาดสิ้นปี SET Index 1,500 จุด
ด้านนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ มีโอกาสที่จะเกิด Window Dressing ได้เหมือนกัน เนื่องจากในช่วงต้นเดือน ต.ค.ที่จะถึงนี้ มีสตอรี่ที่รอหนุนหุ้นไทยที่สำคัญ อย่างกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ที่จะเริ่มมีการซื้อหุ้นไทยแล้ว
ทั้งนี้ ไม่สามารถประเมินได้ว่าหากเกิด Window Dressing ขึ้นในรอบนี้จะสามารถผลักดันดัชนีให้ปรับตัวขึ้นไปได้กี่จุด แต่ส่วนตัวมองว่า SET Index ยังมีโมเมนตัมที่จะปรับตัวขึ้นได้ต่อ แม้ก่อนหน้านี้จะปรับตัวขึ้นมากว่า 150 จุด ภายใน 1 เดือนก็ตาม ซึ่งหากอ้างอิงปัจจัยพื้นฐาน ณ ปัจจุบัน ของตลาดหุ้นไทย ประกอบกับเม็ดเงินจากกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ที่กำลังจะเข้ามา และแรงซื้อกลับของนักลงทุนต่างประเทศ มีโอกาสที่ SET Index ณ สิ้นปี ปรับตัวขึ้นไปปิดที่ระดับ 1,500 จุด ได้
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่อาจกระทบเม็ดเงินการทำ Window Dressing ในช่วงสิ้นเดือน ก.ย.นี้ มีด้วยกัน 2 เหตุผล ดังนี้
1.ช่วงไตรมาส 3 ของทุกปี มักเป็นโลว์ซีซันของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นเดียวกับผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนช่วงไตรมาส 3/67 ที่มีแนวโน้มไม่โดดเด่น จึงทำให้ไม่มีความน่าสนใจมากพอ ถ้าไม่มีประเด็นใหญ่ๆ อย่างกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ที่รอหนุนอยู่
2.โดยปกติของทุกปีในช่วงสิ้นเดือน พ.ค. และสิ้นเดือน ก.ย. มักจะเป็นจังหวะการขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศ หลังหมดช่วงการเก็งกำไรงบการเงิน และการจ่ายเงินปันผล ซึ่งช่วง 2 จังหวะดังกล่าว เป็นช่วงที่มักมีเม็ดเงินลงทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทยมากที่สุดในภาวะปกติ ส่งผลให้กองทุนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยนิยมทำ Window Dressing ในช่วงปิดงบไตรมาส 3 ของทุกปี
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ในกรณีที่นักลงทุนมีหุ้นอยู่ และหุ้นที่ถือมีแนวโน้มที่ผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปีนี้เติบโตต่อเนื่อง ยังสามารถถือหุ้นต่อไปได้ เพราะโมเมนตัมของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะช่วยหนุนหุ้นลักษณะดังกล่าวให้ปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่ถ้าหุ้นที่ถืออยู่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลังไม่ดีนัก แนะนำขายทำกำไรก่อน
ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้น แนะนำรอจังหวะดัชนีหุ้นไทยย่อตัวลงมาเสียก่อนจึงค่อยเข้าสะสม เพราะหุ้นไทยช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นมากว่า 150 จุดแล้ว การเข้าซื้อในจังหวะนี้ถือว่าค่อนข้างเสียเปรียบนักลงทุนที่ซื้อหุ้นมาก่อนหน้านี้ โดยแนะนำหุ้นที่ได้รับอานิสงส์เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว (Domestic play) มีเงินปันผลระดับสูง และเป็นเป้าหมายการซื้อของกองทุน ชอบ GPSC BH JMT และ STA