นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (20 ก.ย.) ที่ระดับ 33.13 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.09 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.85-33.30 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควรในกรอบ sideways (กรอบการเคลื่อนไหว 33.07-33.27 บาทต่อดอลลาร์) โดยแม้ว่า ในช่วงแรกเงินบาทจะพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อยตามการแข็งค่าขึ้นของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00% ด้วยมติ 8-1 (มีกรรมการเห็นชอบให้คงอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อน) อย่างไรก็ดี ภาพดังกล่าวเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว โดยเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.30 บาทต่อดอลลาร์ ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังแนวโน้มการเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินทั้งฝั่งยุโรปและสหรัฐฯ ได้หนุนให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลง พร้อมกับกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงเช่นกัน ทั้งนี้ เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าลงได้ต่อเนื่องทะลุแนวต้าน 33.30 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ หลังผู้เล่นในตลาดอาศัยจังหวะเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในการทยอยปรับสถานะถือครอง ก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันศุกร์นี้
ส่วนราคาทองคำรีบาวนด์ขึ้นกลับมาสู่ระดับก่อนรับรู้ผลการประชุม BOE ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางหลัก รวมถึงความต้องการถือทองคำในช่วงที่สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง
สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญที่ห้ามพลาด คือ ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างไม่คาดหวังว่า BOJ จะสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมได้อีก จนกระทั่งถึงราวกลางปี 2025 หลังการขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ในช่วงที่ผ่านมาได้สร้างความปั่นป่วนให้ตลาดการเงิน อย่างไรก็ดี แม้ว่าในการประชุมครั้งนี้เราจะมองว่า BOJ อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25% ตามเดิม แต่ต้องระวังการสื่อสารของ BOJ ที่อาจย้ำจุดยืน พร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ หากสภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินเอื้ออำนวย โดยล่าสุดเช้านี้ อัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น เดือนสิงหาคมยังคงอยู่ในระดับ 3.0% (อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อยู่ที่ระดับ 2.8%) สูงกว่าเป้าหมายของ BOJ ที่ 2.0% โดยหาก BOJ ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ ชัดเจนอาจหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้พอสมควร
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนสิงหาคม พร้อมทั้งรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB)
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า “Underestimate” แรงซื้อสินทรัพย์ไทยไปพอสมควร หลังบรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) สวนทางกับที่ประเมินไว้ ทำให้เงินบาทในช่วงวันก่อนหน้าได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าจากแรงซื้อสินทรัพย์ไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ตามการรีบาวนด์ขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำเช่นกัน อย่างไรก็ดี สำหรับวันนี้ เรามองว่าเงินบาทจะเผชิญความผันผวน Two-Way Volatility ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับผลการประชุม BOJ
โดยหาก BOJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามเดิม แต่ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยที่ชัดเจน สวนทางกับที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ อาจหนุนให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) แข็งค่าขึ้น ทดสอบโซน 141 เยนต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง พร้อมช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้าง ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจจะขึ้นกับว่าจะมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) มากน้อยเพียงใด และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์จะช่วยให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้ระดับไหน (ส่งผลต่อโฟลว์ธุรกรรมทองคำ)
ขณะที่หาก BOJ คงดอกเบี้ยตามเดิม และไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนนักต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ย อาจทำให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ยังคงแกว่งตัว sideways ไปก่อน จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า หากจะเห็นเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นเร็วและแรงเหมือนในช่วง Black Monday ที่ผ่านมา อาจจะต้องเห็นทั้งแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ พร้อมกับความกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่รุนแรง ซึ่งจะยิ่งหนุนการ Unwind JPY-Carry Trade เพิ่มเติม หรือ เพิ่มการถือสถานะ Long JPY (มองเงินเยนแข็งค่า)
อนึ่ง เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ซึ่งอาจทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติบางส่วนอาจเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้บ้าง โดยเรามองว่ามีโอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับสำคัญ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ (แนวรับถัดไป 32.80 บาทต่อดอลลาร์) ทั้งนี้ เราคงมองว่า หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องหลุดโซนดังกล่าว จะเปิดโอกาสในการทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ที่น่าสนใจ (Buy on Dip) เนื่องจากในเชิง Valuation เงินบาทที่ระดับแข็งค่ากว่า 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ถือว่าอยู่ในโซน Slightly Overvalued จนกว่าปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นชัดเจน หรือมีการรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม