ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่นต่อยอดการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ปรับโครงสร้างสู่ Holding Company ภายใต้ชื่อ “สเตคอน กรุ๊ป” วางเป้าหมายสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่และรองรับแผนการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน ผลักดันสัดส่วนรายได้ในธุรกิจใหม่ภายใน 5-10 ปี เป็น 50% ในอนาคต แย้มดีลโปรเจกต์ใหม่ในอนาคต หนุนผลงานเติบโตไม่หยุด ย้ำนักลงทุนแลกหุ้นได้ถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2567 ก่อนที่หุ้นของ STEC จะถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และแทนที่ด้วยหุ้นของ STECON คาดกระบวนการแล้วเสร็จตุลาคม 2567
นายภาคภูมิ ศรีชำนิ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “Ticker: STEC” เปิดเผยถึงก้าวที่สำคัญของ STEC ในการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการ เพื่อมุ่งสู่การเป็น Holding Company ภายใต้ชื่อบริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (บริษัทโฮลดิ้ง หรือ Ticker: STECON) เพื่อประกอบธุรกิจในลักษณะบริษัทลงทุนที่ไม่ได้ทำธุรกิจของตนเอง (Non-operating Holding Company) แต่เข้าถือหุ้นในบริษัทอื่นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการมีอำนาจควบคุมกิจการในบริษัทอื่น เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
โดยบริษัทมีแผนลงทุนในธุรกิจที่สร้าง Recurring Income และธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตสูง (New S-Curve) วางเป้าหมายในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า ดันรายได้ในธุรกิจใหม่เติบโตอย่างโดดเด่น หวังกระจายความเสี่ยง สร้างรายได้ประจำ เสริมแกร่งธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ไปยังธุรกิจอื่นที่นอกเหนือจากธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้างเดิม
ทั้งนี้ ภายหลังจากการปรับโครงสร้าง สามารถแบ่งประเภทการดำเนินธุรกิจของบริษัทได้เป็น 2 ส่วน ได้แก่ (1) กลุ่มธุรกิจหลัก และ (2) กลุ่มธุรกิจอื่น โดยกลุ่มธุรกิจหลักแบ่งออกเป็น (1) ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่ดำเนินการภายใต้ชื่อ STEC (2) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานและพลังงาน ดำเนินการภายใต้ชื่อ “Stecon Power” และ (3) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและการขนส่ง ดำเนินการภายใต้ชื่อ “Stecon Logistics & Transportation” ในขณะที่กลุ่มธุรกิจอื่น ดำเนินการภายใต้ชื่อ STECX Ventures ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่มีความสามารถในการเติบโตสูง สร้างรายได้ให้บริษัท และผลตอบแทนที่ดีอย่างยั่งยืนให้นักลงทุน โดยแต่ละธุรกิจยังสามารถสร้าง synergy ร่วมกัน เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตที่มั่นคงในอนาคต ปัจจุบัน STEC อยู่ระหว่างเจรจาโครงการใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นรายได้จากธุรกิจอื่นเข้ามาเสริมธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในปี 2568
ทั้งนี้ STECON มีเป้าหมายลงทุนในธุรกิจที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่ และรองรับแผนการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน โดยมีแผนลงทุนในธุรกิจที่สร้าง Recurring Income และธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตสูง (New S-Curve) เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ไปยังธุรกิจอื่นที่นอกเหนือจากธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้างเดิม ซึ่งคาดว่าสัดส่วนรายได้ในธุรกิจใหม่ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้าจะเห็นการเติบโตอย่างโดดเด่น และมีสัดส่วนอย่างมีนัยสำคัญต่อกลุ่มบริษัท เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่นักลงทุนอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
ดังนั้น เพื่อดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างให้สำเร็จและลุล่วง บริษัทจึงขอเชิญชวนให้ผู้ถือหุ้นของ STEC นำหุ้นของตนที่จะถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามแผนการปรับโครงสร้าง ไปแลกเป็นหุ้นของ STECON ที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนที่หุ้นของ STEC โดย STECON จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์กับ STEC โดย STECON จะดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนในจำนวนที่เท่ากับทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ STEC เพื่อแลกเปลี่ยนกับหุ้นสามัญของ STEC ในอัตราเท่ากับ 1 หุ้นสามัญของ STEC ต่อ 1 หุ้นสามัญของ STECON ซึ่งผู้ถือหุ้นของ STEC สามารถตอบรับคำเสนอซื้อของ STECON เพื่อดำเนินการแลกหุ้นได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 21 ตุลาคม 2567 (เฉพาะวันทำการ)
ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นสามารถดำเนินการยืนยันการใช้สิทธิผ่านทางตัวแทนหลักทรัพย์ของท่านที่ให้บริการ และผ่านช่องทางออนไลน์ในระบบ E Tender Offer ซึ่งเป็นระบบของ Tender Agent และสามารถศึกษารายละเอียดขั้นตอนการตอบรับคำเสนอซื้อผ่านทาง www.stecon.co.th โดยภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์เสร็จสิ้นตามแผนการปรับโครงสร้าง STEC จะดำเนินการเพิกถอนหุ้นของตนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทโฮลดิ้งจะเข้าจดทะเบียนแทนที่ STEC ในวันเดียวกัน ซึ่งบริษัทโฮลดิ้งจะใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ (Ticker) เป็น STECON ซึ่ง STECON จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นของ STEC ในฐานะบริษัทใหญ่ โดยคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2567
ถึงแม้ว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมรับเหมาก่อสร้างได้รับแรงกดดันจากความเสี่ยงของเศรษฐกิจมหภาคและการแข่งขันภายในอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของอุตสาหกรรมก่อสร้างเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ภายหลังจากสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น รัฐบาลมีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมเดินหน้าการลงทุนโครงการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยภาครัฐได้ทยอยเปิดประมูลงานใหม่ๆ ซึ่ง STEC มีแผนที่จะเพิ่มกำไรของธุรกิจก่อสร้างจากการเพิ่มสัดส่วน Backlog ในโครงการที่มีขนาดใหญ่
ทั้งนี้ STEC จะมีการดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อกิจการในอนาคต ทำให้ STEC มีโอกาสได้รับงานใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมในอนาคต เนื่องด้วยมีประสบการณ์ด้านงานก่อสร้างมาอย่างยาวนาน มีศักยภาพการทำงานที่เปี่ยมประสิทธิภาพ เป็นผู้นำในด้านการบริหารต้นทุน ที่มาพร้อมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ อีกทั้งยังมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ภายหลังจากการปรับโครงสร้าง STECON สามารถแบ่งแยกประเภทของธุรกิจให้ชัดเจน เพื่อบริหารจัดการ แบ่งแยกและจำกัดความเสี่ยงที่แตกต่างกันในแต่ละธุรกิจ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นคงและเติบโตในอนาคต
“STEC มีประสบการณ์ด้านธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมาอย่างยาวนาน สามารถรักษา Backlog ใกล้เคียงระดับ 1 แสนล้านบาทได้อย่างต่อเนื่อง มีผลประกอบการที่เป็นกำไรมาโดยตลอด รวมทั้งมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลให้แก่นักลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งนี้ เพื่อสร้างรายได้ประจำที่ยั่งยืนให้ธุรกิจ สร้างโอกาสในการเข้าถึงธุรกิจที่มีการเติบโตสูงและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน” นายภาคภูมิ กล่าว