xs
xsm
sm
md
lg

จับตาเม็ดเงินกองทุน “วายุภักษ์” หนุนหุ้นไทยเติบโตยาวถึงสิ้นปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จับตาเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ หนุนตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือปรับตัวเพิ่มต่อ แม้เพิ่งพักฐาน คาดเม็ดเงินไหลเข้าตั้งแต่ต้นตุลาคมนี้ หลังกดดันนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันขาดทุนจากการขาย SHORT SELL ก่อนหน้า จนมีลุ้นเห็นหุ้นไทย 1,540 จุด

วันที่ 16-20 ก.ย.นี้ กระทรวงการคลัง จะเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ประเภท ก. ที่เสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป ผ่านธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ของประเทศ เพื่อเปิดโอกาสคนไทยเข้าถึงสินทรัพย์มั่นคง เพิ่มทางเลือกในการออมเงิน โดยเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ระยะเวลาลงทุนเบื้องต้น 10 ปี ราคาเสนอขาย 10 บาทต่อหน่วย รวมประมาณ 100,000-150,000 ล้านบาท

โดยจะแบ่งการเสนอขายหน่วยลงทุนออกเป็น กองทุนส่วนบุคคลของผู้ลงทุนรายย่อย สัดส่วนเสนอขาย 30,000-50,000 ล้านบาท และกลุ่มที่ 2 ผู้ลงทุนสถาบันและนิติบุคคลเฉพาะกลุ่ม สัดส่วนเสนอขาย 100,000-120,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ บุคคลทั่วไปสามารถจองซื้อขั้นต่ำ 10,000 บาท (1,000 หน่วย) เพิ่มขึ้นครั้งละ 1,000 บาท (100 หน่วย) โดยจัดสรรด้วยวิธี Small Lot First (ผู้จองซื้อที่จำนวนขั้นต่ำได้รับจัดสรรก่อน) โดยจะประกาศผลการจัดสรรภายในวันที่ 25 กันยายน 2567 ผ่าน www.settrade.com และคาดว่าจะนำหน่วยลงทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้

สำหรับนโยบายลงทุนแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ หลักทรัพย์สภาพคล่อง หลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และหลักทรัพย์อื่นๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เฉพาะกรณี ที่กองทุนรวมมีกำไรของกองทุนรวม และ/หรือสำรองเงินปันผลตามอัตราผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงของกองทุนรวม แต่ไม่ น้อยกว่าอัตราขั้นต่ำที่กำหนดไว้ร้อยละ 3 ต่อปี และไม่เกินอัตราขั้นสูงที่กำหนดไว้ร้อยละ 9 ต่อปี โดยคำนวณ จากราคา พาร์ที่ 10 บาทต่อหน่วย ซึ่งกำหนดเป็นอัตราคงที่ตลอด 10 ปี

และเป็นที่คาดว่า หน่วยลงทุนกองทุนวายุภักษ์จะรับความสนใจจากประชาชนอย่างล้นหลาม เพราะผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงต่ำ ส่วนเงินที่ระดมได้ จะเริ่มลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 1 ตุลาคมนี้ เพียงแต่เงิน 1-1.5 แสนล้านบาท จะไม่นำมาลงทุนซื้อหุ้นหมดในทันที แต่จะเริ่มทยอยเลือกซื้อหุ้นที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายลงทุน เช่น หุ้นขนาดใหญ่ปัจจัยพื้นฐานดี หรือหุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง และจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น หุ้นปัจจัยพื้นฐานดี เงินปันผลสูง แต่ถ้าราคาหุ้นถูกไล่ขึ้นไปสูง กองทุนวายุภักษ์ อาจไม่รีบร้อนเข้าซื้อในทันทีก็ได้

หนึ่งในปัจจัยกระตุ้นตลาดหุ้น

ที่ผ่านมา ปัจจัยส่วนหนึ่งที่เป็นแรงผลักดันให้ดัชนีหลักทรัพย์กลับมาทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนีไม่พ้นแนวคิดการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์อีกรอบของรัฐบาล สิ่งที่ช่วยยืนยันปัจจัยดัวกล่าวนั้นมาจาก การรายงานสรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนสิงหาคม 2567ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

โดยระบุว่า จากการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ที่เมือง Jackson Hole เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีรายงานว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ กำลังชะลอตัวเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% และถึงเวลาที่เฟด ควรจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ตลาดคาดว่า มีแนวโน้มที่เฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมในเดือนกันยายนนี้ ส่งผลให้หุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสปรับฐานหลังจากปรับเพิ่มขึ้นมากในช่วงก่อนหน้า จึงส่งผลให้มีเงินทุนบางส่วนเคลื่อนย้ายไปยังหุ้นและพันธบัตรใน Emerging Market ที่มีพื้นฐานดี

นอกจากปัจจัยภายนอกที่เอื้อต่อการเติบโตของ SET Index แล้ว ในส่วนของปัจจัยภายในประเทศยังมีปัจจัยบวกที่ส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน อาทิ การเมืองไทยที่มีความชัดเจนมากขึ้นหลังมีการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่รายงานออกมาเข้มแข็งกว่าที่นักวิเคราะห์คาด รวมถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไทยในไตรมาส 2/2567 ที่แข็งแกร่งรวมถึงบริษัทจดทะเบียนไทยหันมาใช้การซื้อหุ้นคืนเป็นเครื่องมือในการบริหารสภาพคล่องของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการซื้อหุ้นคืนยังช่วยส่งสัญญาณให้ผู้ลงทุนทราบว่าผู้บริหารมีความมั่นใจว่าราคาหุ้นในปัจจุบันถูกประเมินต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทและกระตุ้นความต้องการซื้อหุ้นในตลาด

ไม่เพียงเท่านี้ หลายฝ่ายยังคาดการณ์ว่าจะมีสภาพคล่องไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มในช่วงที่เหลือของปี หลังจากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยในกองทุนThai ESG และความชัดเจนในการออกขายกองทุนวายุภักษ์ 1 ที่มีการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำ ซึ่งจะดึงดูดความสนใจผู้ลงทุนและสามารถช่วยส่งเสริมความเชื่อมั่นโดยรวมในตลาดทุน

ดัชนีพักฐานพร้อมไปต่อ

ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาตลาดหุ้นรอบนี้วิ่งมาไกลมาก ทะยานขึ้นม้วนเดียวประมาณ 143 จุด จนทำให้หลายต่อคนเริ่มกังวลว่า ในระยะสั้นจะมีการปรับฐานลง ซึ่งในที่สุดก็เกิดขึ้นจริง โดยนักลงทุนรายย่อยพร้อมใจกันเทขายทำกำไร 2 วันต่อเนื่อง(10-11 ก.ย.) ลดลง 15.72 จุด จนดัชนีถอยลงมาปิดที่ 1,415.41 เมื่อวันพุธ(11ก.ย.)ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามจากนั้น ดัชนีหลักทรัพย์ได้กรับมาปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันที่ 12-13 ก.ย.6 7 จนดัชนีปิดที่ระดับ 1,421.58 จุด เป็นการส่งท้ายสัปดาห์ก่อนที่จะกลับมาเปิดตลาดอีกครั้งในวันที่ 16 ก.ย. 67 ซึ่งเป็นวันเดียวกับการเริ่มเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนกองทุนวายุภักษ์ ทำให้ใครต่อใครคาดว่า วันจันทร์ที่ 16 ก.ย.นี้จะเป็นอีกหนึ่งวันที่กระดานหุ้นเป็นสีเขียวสดใส

8 เดือนหุ้นไทยไม่ขยับไปไหน

แต่หากพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่สร้างผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ต้องยอมรับว่า ปี 2567 ผ่านพ้นไป 8 เดือน แต่ดัชนีฯแทบไม่กระดิกไปไหน โดยจุดปิดเมื่อวันพุธ (11ก.ย.) อยู่ในระดับเดียวกันกับจุดปิดสิ้นปี 2566 ที่ระดับ 1,415.85 จุด ซึ่งเท่ากับภาพรวมตลาดหุ้นยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดมากนัก เพียงแต่หุ้นรายตัวอาจเกิดความผันผวนรุนแรง

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์คาดหมายกันไว้ก่อนหน้าแล้วว่า หุ้นอาจปรับฐานระยะสั้น เพราะดัชนีดีดขึ้นมาสูงและเร็ว สร้างแรงกดดันให้นักลงทุนที่หวั่นไหวในความสูงของราคาหุ้น และอาจชิงจังหวะขายทำกำไรเพียงแต่นักลงทุนที่เทขายทำกำไรรอบนี้ กลับเป็นนักลงทุนรายย่อย สวนทางนักลงทุนต่างชาติที่ยังซื้อต่อเนื่อง

ได้เวลารายย่อยถอนทุน

ก่อนหน้านักลงทุนรายย่อยเทขายหุ้นทำกำไรออกมาหนัก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายนและวันศุกร์ที่ 6 กันยายน โดยขายวันละกว่า 1 หมื่นล้านบาท และเป็นการขายทำกำไร หลังจะซื้อหุ้นสะสมต่อเนื่องนับจากต้นปี

จากข้อมูลพบว่าในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนรายย่อยในประเทศต้องแบกหุ้นต้นทุนสูงที่รับมาจากนักลงทุนต่างชาติประมาณ 6 แสนล้านบาท อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติได้ใช้กลยุทธ์เล่นหุ้นขาลง โดยการขาย SHORT SELL หรือยืมหุ้นมาขาย รวมทั้งการทำ NAKED SHORT หรือขายโดยไม่มีใบหุ้น และใช้โปรแกรมเทรด หรือ ROBOT TRADE โจมตีหุ้นรายตัว จนเจ้าของหุ้นหลายบริษัทต้องล้มตาย พร้อมกับนักลงทุนรายย่อยต้องติดหุ้นอยู่ยอดดอยยาวนาน

วายุภักษ์กดดันต่างชาติซื้อ

สิ่งที่น่าสนใจคือ นับตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนต่างชาติได้ถูกแรงกดดันจากการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งจะเริ่มขายหน่วยลงทุนในวันที่ 16 ก.ย.นี้ บีบให้จำเป็นต้องรีบกลับมาซื้อหุ้นไทย เพื่อนำส่งมอบคืนหุ้นที่ยืมมาขาย SHORT นั่นเพราะถ้ารอให้กองทนวายุภักษ์จัดตั้งเสร็จ จะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติต้องซื้อหุ้นคืนในราคาแพงขึ้น และอาจทำให้ขาดทุนจากการ SHORT SELL หลังจากฟันกำไรจากการทุบหุ้นลงมาตลอด 6 ปี

ระยะยาวหุ้นไทยยังขาขึ้น

ดังนั้นแนวโน้มการลงทุนในช่วงเวลาที่เหลือต่อจากนี้ในปี 2567 หลายฝ่ายเชื่อว่ายังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยมีกองทุนวายุภักษ์เป็นกองหนุนที่พร้อมจะเข้ามาช้อนซื้อหุ้นหากราคาปรับตัวลง ขณะที่ต่างชาติน่าจะทยอยกลับมาซื้อหุ้นคืนต่อเนื่องส่วนกรณีหุ้นปรับฐานลงติดต่อ 2 วัน รวมเพียงประมาณ 15 จุด ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับรอบนี้ที่วิ่งขึ้นมาประมาณ 143 จุด และการปรับฐานจะลดแรงกดดันนักลงทุนที่กลัวความสูง กลัวว่าหุ้นจะร้อนแรงเกินไป จนเสี่ยงต่อการปรับฐานใหญ่

นั่นทำให้ แผนการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ในรอบนี้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นกลับมาคึกคัก

แรงวายภักษ์เริ่มหมด?

อย่างไรก็ตาม คาดว่าปัจจุบันนักลงทุนได้ซึมซับรับข่าวไปหมดแล้ว ทำให้ดัชนีหุ้นไทยจากที่เคยพุ่งขึ้นต่อเนื่อง กำลัง หมดแรงที่จะเดินหน้าต่อ ซึ่งการซบเซา หรือซึมตัวของดัชนีหุ้นไทยรอบนี้ ถือว่าต่างจากช่วงที่ผ่านมา หลังจากนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นอย่างชัดเจน โดยนับจากประกาศจัดตั้งกองทุน พบว่าภายในเดือนก.ย.67 มียอดซื้อหุ้นสะสมกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท จนนำไปที่คำถามว่า “หรือเพราะนักลงทุนต่างชาติอาจช้อนซื้อหุ้นคืนและปิดรายการ SHORT SELL ตามที่ต้องการแล้วหมดแล้ว” นั่นทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า ถ้าแรงซื้อหุ้นของต่างชาติอ่อนลง อาจทำให้ดัชนีหุ้นไทยลดความร้อนแรงตามไปด้วย ไม่เพียงเท่านี้ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าตลาดหุ้นเริ่มเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ ไม่พุ่งทะยานเหมือนสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน

ดังนั้น โอกาสที่จะพุ่งไปแตะระดับ 1,450 จุดไม่ใช่เรื่องง่าย เช่นกัน จนนำไปสู่ข่าวลือที่ว่า ข่าวดีจากการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ใกล้หมดแล้ว ดังนั้นหากรัฐบาลต้องการให้หุ้นไทยไปต่อ จำเป็นต้องมีข่าวดีชิ้นใหม่เข้ามากระตุ้น

ปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า บทบาทในการปลุกตลาดหุ้นให้ฟื้น เรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะสั้น บรรลุเป้าหมายแล้ว ดังนั้นบทบาทสำคัญต่อไปของรัฐบาลคือ การพยุงตลาดหุ้นไม่ให้เกิดความผันผวนรุนแรง โดยหากเกิดวิกฤต หรือต่างชาติเทขายหุ้นอย่างหนัก กองทุนวายุภักษ์ก็จะเข้ามาซื้อหุ้น ประคองดัชนี ฯ ไม่ให้ดิ่งลงแรง แต่ถ้าไม่มีปัจจัยใหม่ หรือถ้าไม่มีข่าวดีชิ้นใหญ่กระตุ้น คาดว่าหุ้นไทยจะกลับไปสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง โดยดัชนีฯเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ อีกสักพัก

ขณะเดียวกัน นักลงทุนที่มีแผนซื้อหุ้นดักหน้านั้นอย่าหวังว่าจะขายหุ้นได้ราคาดีๆ มีกำไรงามๆจากกองทุนวายุภักษ์ เพราะถ้าราคาหุ้นแพงไป วายุภักษ์มีเวลามากพอที่จะรอคอยให้หุ้นปรับตัวลงมาในราคาที่เหมาะสมได้

“วายุภักษ์ที่ดีต้องไม่ปรับเกณฑ์”

สำหรับในสัปดาห์นี้ (16-20ก.ย.) ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกำลังติดตามนั่นคือ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ซึ่งต้องรอประเมินว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะตอบรับอย่างไร และจะเป็นปัจจัยผลักดันให้ดัชนี ฯ หุ้นไปต่อจนแตะ 1,450 จุดได้หรือไม่

นอกจากนี้มีรายงานว่า ขณะนี้นักลงทุนยังไม่มีความมั่นใจมากนัก ว่ากองทุนวายุภักษ์ 1 จะไปรอดภายใต้เงื่อนไขเดิมในตอนนี้หรือไม่ เพราะหากพิจารณาจดหมายของนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดผนึกถึงรัฐมนตรีคลัง ปัจจุบัน ว่า การนำเงินจากกอง ข. มาใช้ชดเชยกอง ก. มีสิ่งที่น่ากังวลคือหาก NAV ลดลง เนื่องจากเม็ดเงินของกอง ข. เป็นเงินจากกระทรวงการคลัง ที่เป็นเงินงบประมาณของแผ่นดินจึง อาจไม่ถูกต้องที่จะนำเงินทุนส่วนนี้ไปชดเชยให้กับนักลงทุนได้อีกทั้งกรณีการลดลงของNAV นั้นไม่สมเหตุสมผลมากนัก จึงไม่แน่ใจว่าจะมีการปรับเงื่อนไขของกองทุนออกมาหรือไม่

โดยหากปรับจริง ความน่าสนใจของกองทุนอาจลดลง อาทิ หากปรับเงื่อนไขแล้วความเสี่ยงจากผลตอบแทนที่มี นั้นนักลงทุนต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด หรือหากมีการขาดทุนเกิดขึ้น หลายฝ่ายคาดว่าคงไม่มีใครสนใจเพราะไม่ได้แตกต่างจากสินทรัพย์การลงทุนที่มีและนั่นทำให้หลายรายเชื่อว่า หากเบื้องต้นสามารถใช้เงื่อนไขนี้แบบไม่มีการปรับเปลี่ยนแล้ว มองว่ากองทุนวายุภักษ์ 1 ยังมีความน่าสนใจสูง และขายหมดครบวงเงิน 1.5 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ มีการประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปี 67 ว่ายังเป็นบวก พร้อมคาดเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยมีหลักๆ 2 ส่วน ซึ่งส่วนใหญ่จะมาในช่วงไตรมาส Q4 ปี 67 สูงถึงราว 1.2-1.7 แสนล้านบาท ต่อยอดด้วยเม็ดเงิน ThaiESG เต็มปีในปี 68 อีก 7.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 67 ที่ 1,540 จุดได้อีกครั้ง


กำลังโหลดความคิดเห็น