ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) (CGSI) ระบุในบทวิเคราะห์ ประมาณการว่าตลาดหุ้นไทยอาจมีเงินทุนไหลเข้าราว 1.7 แสนล้านบาทในไตรมาส 4/67 จากกองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง และ กองทุน Thai ESG
กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง เตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. รอบใหม่ในช่วงวันที่ 18-20 ก.ย.วงเงินรวมประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้น big-cap และ mid/small-cap ที่มีคะแนน SET ESG Ratings อยู่ในระดับดี โดยประกันเงินต้นและจะได้รับเงินปันผลตามอัตราผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริง แต่จะไม่น้อยกว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำและไม่เกินอัตราผลตอบแทนขั้นสูง ซึ่งคาดว่าอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำน่าจะอยู่ที่ 3% ส่วนขั้นสูงน่าจะอยู่ที่ 9% หรือใกล้เคียงกับเงื่อนไขของกองทุนรวมวายุภักษ์เดิมที่เปิดขายในปี 66 ขณะที่เชื่อว่ากองทุนฯน่าจะได้รับอนุญาตให้ลงทุนในสินทรัพย์คงที่ ทั้งนี้หน่วยลงทุนจะเข้าซื้อขายใน SET ในเดือนต.ค.2567
กองทุนรวมวายุภักษ์น่าจะประกันผลตอบแทนขั้นต่ำอยู่ที่ 3% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีในขณะนี้อยู่ที่เพียง 2.55% จึงเชื่อว่ากองทุนฯ จะไม่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลมากนัก และนำเงินทุนส่วนใหญ่ไปลงทุนในหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและมีคะแนน ESG ดีใน SET
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ได้รวบรวมรายชื่อหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 3% และมีคะแนน SET ESG Ratings ตั้งแต่ ระดับ ?AA? ขึ้นไป มี 37 หุ้น ประกอบด้วย SAT, SIRI, SCB, ORI, SPALI, TISCO, AP, MC, OSP, PTTEP, TTW, TOP, WHAUP, PTT, SABINA, EGCO, TTB, BCP, RATCH, BBL, MAJOR, STGT, STA, KTB, IVL, KBANK, ZEN, WICE, HMPRO, BCPG, TVO, INTUCH, SGP, WHA, ADVANC, OR และ TTA
ทั้งนี้ การกำหนดอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำจะทำให้กองทุนรวมวายุภักษ์สามารถระดมทุนได้ง่ายขึ้น และเนื่องจากคนไทยสามารถนำเงินลงทุนในกองทุน Thai ESG มาหักลดหย่อนภาษี จึงคาดว่ากองทุน Thai ESG จะมีเงินทุนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 4/67 ดังนั้นเมื่อรวมกับกองทุนรวมวายุภักษ์มูลค่า 1.5 แสนล้านบาท จึงประมาณการว่าตลาดหุ้นไทยอาจมีเงินทุนไหลเข้าราว 1.7 แสนล้านบาทในไตรมาส 4/67
แม้ว่าขนาดของกองทุนรวมวายุภักษ์และกองทุน Thai ESG รวมกันน่าจะมีสัดส่วนราว 1% ของ market cap ในปัจจุบัน แต่เชื่อว่าข่าวนี้น่าจะช่วยสร้างความตื่นเต้นได้ในระดับหนึ่ง เพราะไม่มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้น ข่าวนี้อาจช่วยหนุนให้ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นประมาณ 5% หรือ 70 จุดในไตรมาส 4/67 ซึ่งจะทำให้ performance ของตลาดหุ้นไทยในรูปของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ในระดับเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ตั้งเป้าดัชนี SET สิ้นปีนี้ที่ 1,420 จุด แม้ว่าตลาดหุ้นไทยอาจปรับตัวขึ้นสูงกว่าเป้าหมายดังกล่าว แต่อาจมีความไม่แน่นอนทางการเมืองซึ่งอาจส่งผลต่อ sentiment ตลาดได้ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงยังเน้นหุ้น Domestic play และหุ้น Laggard ที่มีคะแนน ESG สูง
หุ้น Top pick ได้แก่ AMATA มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 2.9%, คะแนน SET ESG Rating อยู่ในระดับ AAA, BBL 4.9% เรทติ้ง AA, BCH 2.1% เรทติ้ง AA, CBG 1.3% n/a , CPALL 1.6% เรทติ้ง AAA, CRC 1.8% เรทติ้ง AAA, KLINIQ 3.6%, n/a และ PTTEP 6.8% เรทติ้ง AAA