xs
xsm
sm
md
lg

บาทแข็งค่ารับเงินทุนไหลเข้า ทองคำมีลุ้นขยับรับเฟดลดดอกเบี้ย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ค่าบาทแข็งค่า หลังเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าดันดัชนีหุ้นพุ่งต่อเนื่อง จับตาเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย ขณะที่ภัยน้ำท่วมอาจทำให้เงินเฟ้อในประเทศปรับตัว ส่วนทองคำมีลุ้นขยับเพิ่ม แม้บาทแข็งค่ากดดันราคาทองคำในประเทศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทได้ทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 19 เดือน (1 ปี 7 เดือน) ที่ 33.49 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ มีสัญญาณอ่อนแอ โดยเงินบาทกลับไปเคลื่อนไหวในกรอบที่อ่อนค่ากว่า 34.00 บาทดอลลาร์ฯ ช่วงสั้นๆ ในช่วงต้นสัปดาห์ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวกลับมาบางส่วนตามการปรับโพสิชั่นของตลาด หลังตัวเลขเงินเฟ้อ PCE/Core PCE ของสหรัฐฯ สะท้อนว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขนาดที่มากกว่า 25 bps. ในการประชุม FOMC เดือนนี้

ต่อมาเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นทะลุ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ อีกครั้งในช่วงกลาง-ปลาย ตามสถานะซื้อสุทธิทั้งในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ

 ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับทิศทางการแข็งค่าของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก สวนทางกับเงินดอลลาร์ฯ ที่เผชิญแรงขาย หลังตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ออกมามีสัญญาณอ่อนแอ โดยมีรายงานว่า วันศุกร์ที่ 6 ก.ย. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 33.49 บาทต่อดอลลาร์ฯ

สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 2-6 ก.ย. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 15,496 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 9,517 ล้านบาท (แบ่งเป็น ซื้อสุทธิพันธบัตร 10,017 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 500 ล้านบาท)

มีโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย

ส่วนสถานการณ์สหรัฐ สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงานที่เฟดให้ความสำคัญ ลดลง 237,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.67 ล้านตำแหน่งในเดือน ก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2564 ข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ว่าภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานคลี่คลายลง และอาจทำให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้

โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 49% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 18 ก.ย. เพิ่มขึ้นจาก 41% ก่อนที่จะมีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว นักลงทุนจับตาข้อมูลแรงงานของสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของเฟด

ขณะเดียวกันตลาดยังคงจับตาข้อมูลตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือน ส.ค.ของสหรัฐ ที่จะมีการ เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 164,000 ตำแหน่งในเดือน ส.ค. หลังจากเพิ่มขึ้นเพียง 114,000 ตำแหน่งในเดือน ก.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.2% ในเดือน ส.ค. จากระดับ 4.3 ในเดือน ก.ค.

ภัยพิบัติดันเงินเฟ้อปรับตัว

ส่วนปัจจัยภายในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการเปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการเงินเดือน ก.ค. 67 ว่า เศรษฐกิจไทยโดยรวมปรับดีขึ้นหลังชะลอลงในเดือนก่อน (มิ.ย. 67) ตามการฟื้นตัวของอุปสงส์ต่างประเทศ โดยการส่งออกสินค้า และรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและบริการที่เกี่ยวเนื่องขยายตัว ส่วนด้านการลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัวจากเดือนก่อน

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะสูงขึ้น จากราคาสินค้าในกลุ่มอาหาร โดยเฉพาะผักสด ผลไม้สด เนื่องจากปริมาณฝนตกหนัก และมีน้ำท่วมพื้นที่เพาะปลูก ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตลดลง ขณะที่สินค้ากลุ่มพลังงานราคาลดลง เช่น ค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำมันแก๊สโซฮอล์

สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ไตรมาส 4/2567 คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5% อยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กำหนดไว้ 1-3%

คาดเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่อง

สัปดาห์ทิศทางค่าเงินบาทระหว่างวันที่ 9-13 ก.ย. ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 33.30-34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ รายละเอียดของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และสถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) สำหรับเดือนก.ย. และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์


นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 ของญี่ปุ่น และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนส.ค. ของจีน อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต และยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวน

ตลาดหุ้นได้แรงหนุนต่อเนื่อง

ส่วนความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทยปิดบวกติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 4 โดยแตะจุดสูงสุดในรอบ 8 เดือน เนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาหนุน ประกอบกับเผชิญแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังอยู่ในฝั่งขายสุทธิ และตลาดในภาพรวมยังรอติดตามประเด็นการเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด

สิ่งที่น่าสนใจคือดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งกลับมายืนเหนือ 1,400 จุดในช่วงต่อมาท่ามกลางแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ โดยหุ้นไทยมีแรงหนุนหลักๆ จากเรื่องความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดตั้งครม. และประเด็นเกี่ยวกับการเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวกระตุ้นแรงซื้อเข้ามาในหุ้นหลายกลุ่ม

นอกจากนี้ SET Index ยังขยับขึ้นต่อเนื่องในช่วงปลายสัปดาห์ โดยแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนที่ 1,431.24 จุด โดยมูลค่าการซื้อขายช่วงท้ายสัปดาห์ค่อนข้างสูงทะลุหลัก 100,000 ล้านบาท แตะระดับมูลค่าซื้อขายรายวันสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปี 7 เดือน

ทั้งนี้ ในวันศุกร์ที่ 6 ก.ย. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,427.64 จุด เพิ่มขึ้น 5.05% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 60,737.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.35% จากสัปดาห์ก่อน

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (9-13 ก.ย.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,415 และ 1,400 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,440 และ 1,455 จุด ตามลำดับ โดยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา และทิศทางเงินทุนต่างชาติ

นักลงทุนคาดหวังวายุภักษ์

นักวิเคราะห์เชื่อว่า ปัจจัยสนับสนุนการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีฯนั้นมาจากแผนออกกองทุนวายุภักษ์รอบใหม่ จะเปิดขายรายย่อย ระหว่างวันที่ 16-20 กันยายน และขายนักลงทุนสถาบัน ระหว่างวันที่ 18-20 กันยายน นั่นทำให้นักลงทุนได้เข้าซื้อหุ้นใหญ่ (Big Cap) ดักทางเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนวายุภักษ์ 1 โดยเซ็กเตอร์ที่ปรับขึ้นเด่นคือ กลุ่มพลังงาน (PTT, GULF), กลุ่มธนาคาร (SCB, KBANK, BBL) และกลุ่มค้าปลีก (CRC, HMPRO, CPALL)

นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดหวังเม็ดเงิน 1.5 แสนล้านบาท เข้าตลาดช่วงเดือนตุลาคม 2567 รวมทั้งมาตรการแจกเงิน 1.4-1.5 แสนล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะแถลงนโยบายในวันที่ 11 กันยายนนี้ จากปัจจัยดังกล่าวนั่นทำให้ดัชนีจึงยังปรับขึ้นต่อ เพราะปัจจัยโดยรวมยังคงเป็นบวก อาทิ ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ตามความคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหัฐ (เฟด) ที่กดให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนต่อเนื่อง และหากตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรฯของสหรัฐ ออกมาอ่อนแอ น่าจะกดดันดอลลาร์เพิ่มเติม และดันเงินบาทแข็งค่ามากขึ้นไปอีก

ก.ย.ดัชนีปรับตัวขึ้นต่อ

ส่วนการเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นในเดือนกันยายน 2567 ประเมินว่ายังเป็นการฟื้นตัวต่อจากครึ่งหลังของเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ตาม ปัจจัยบวก ทั้งความคาดหวังต่อแนวนโยบายเศรษฐกิจของ ครม.ชุดใหม่ ความชัดเจนของการออกกองทุน วายุภักษ์ รวมทั้งภาพตลาดการเงินโลกที่ยังเป็นบวก จากการที่เฟดเตรียมปรับลดดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม ควรเพิ่มความระมัดระวังช่วงครึ่งหลังของเดือนกันยายน เพราะจากสถิติในอดีต ตลาดหุ้นสหรัฐ อาจเผชิญแรงขายรับข่าว (sell on fact) หลังเฟดปรับลดดอกเบี้ยได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐจะทยอยออกมาระหว่างเดือนว่าจะกระตุ้นให้ความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอย (recession) กลับมาอีกครั้งหรือไม่

ทองคำราคาลดสวนทาง ตปท.

ส่วนราคาทองคำปรับลดต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการปรับลดต่อเนื่อง 3 วันแล้ว โดยทองแท่งรับซื้อ (บาท) 39,950 บาท ขายออก (บาท) 40,050 บาท ทอง รูปพรรณ รับซื้อ (บาท) 39,234.08 บาท ขายออก (บาท) 40,550 บาท อิงราคาทองโลก 2,519.50 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และค่าบาท 33.54 บาทต่อเหรียญสหรัฐ รวมถึงผลักดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง ไม่หลุด 34 บาท ต่อเหรียญสหรัฐ

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics เชื่อว่าแนวโน้ม เงินบาทในช่วงต่อไปจะมีความผันผวนมากขึ้น จากความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทและราคาทองคำที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต หลังเห็นพฤติกรรมของคนไทยที่นิยมลงทุนและเก็งกำไรในทองคำมากขึ้น

เนื่องจากความผันผวนของตลาดการเงินโลกในช่วงหลัง ซึ่งส่งผลบวกต่อการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ตลอดจนความเปราะบางของปัจจัยพื้นฐานด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย

ทั้งนี้ เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ค่าเงินบาทกลับมาผันผวนสูงขึ้นจากปกติราว 6-7% เป็น 9-10% ซึ่งผันผวนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของสกุลเงินภูมิภาค ขณะเดียวกัน เงินบาทก็ปรับแข็งค่าขึ้นเร็วจากช่วงต้นไตรมาส 3 ที่เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 36.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ระดับ 34.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือแข็งค่าขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงต้นเดือนกันยายน 2567 (MTD) ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา เงินบาทอ่อนค่าลงเพียง 0.3% (YTD)

อย่างไรก็ตาม แม้การแข็งค่าของเงินบาทอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ตามการปรับเพิ่มมุมมองการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ในปีนี้แต่อีกปัจจัยที่สำคัญที่ส่งผลต่อค่าเงินบาท คือ การเคลื่อนไหวของราคาทองคำที่ผันผวนและกำลังเป็นขาขึ้นจนพุ่งสูงถึง 21% จากต้นปี ซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทมากกว่าค่าเงินสกุลอื่นๆ

โดยหากเทียบความผันผวนของราคาทองคำในช่วงก่อนโควิด-19 (ปี 2558-2562) พบว่าราคาทองคำมีความผันผวนที่ต่ำกว่าปัจจุบัน เนื่องจากเป็นช่วงที่ราคาทองคำส่วนใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,000-1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ประกอบกับค่าเงินบาทในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงที่เงินบาทแข็งค่า จึงเป็นสาเหตุให้ผลตอบแทนของค่าเงินบาทถูกอธิบายด้วยผลตอบแทนราคาทองคำเพิ่มมากขึ้น

นั่นทำให้ ttb analytics มองว่าความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทและราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้นจากช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 สวนทางกับ ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่สามารถกลับมาแข็งแกร่งเช่นในอดีต เมื่อประกอบกับภาพแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในระยะเวลาข้างหน้าที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ยิ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวในลักษณะผันผวนสูงต่อไป จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ราคาทองคำจะยังคงส่งผลเพิ่มเติมต่อความผันผวนของค่าเงินบาทในระยะข้างหน้า

สำหรับภาพรวมราคาทองคำในปัจจุบัน ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดี โดย Gold Spot อยู่ที่บริเวณ 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ค่าเงินบาทช่วงต้นปีอยู่แถว ๆ 37 บาทต่อดอลลาร์ แต่หลังจากที่มีการประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีกจนหลุด 34 บาทต่อดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวลง

ก่อนหน้านี้ ราคาทองคำคาดหวังกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งทิศทางคาดว่ายังเป็นแบบนั้นอยู่ เพียงแค่ทุกครั้งที่ราคาทองคำแพงขึ้น หรือเงินดอลลาร์อ่อนลง จะทำให้เงินบาทแข็งค่าด้วย ดังนั้น จะเป็นผลทำให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวลงได้ ทั้งนี้ ทองมีโอกาสลดลงหลุด 40,000 บาทได้ หากทองคำโลก หรือ Gold Spot ย่อลง

แต่ในระยะสั้นประเด็นที่คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในรอบกลางเดือน ก.ย.นี้ เชื่อว่าช่วงก่อนหน้าที่จะมีการประกาศดอกเบี้ย ราคาทองคำจะนิ่ง เนื่องจากนักลงทุนรอจังหวะการเข้าซื้อ ส่วนระยะต้องติดตามประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งจะชี้ทิศทางนโยบายที่จะเดินหน้าต่ออย่างชัดเจนขึ้น ทำให้นักลงทุนสามารถเห็นภาพของนโยบายการเงินและการคลังสหรัฐได้ดีขึ้น

ส่วนกรณีที่ราคทองคำโลกปรับตัวขึ้น แต่ทองในประเทศสวนทางนั้น เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า โดยตั้งแต่ปลายเดือน ก.ค.มาถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ประมาณ 7% จึงมีผลกระทบให้ราคาทองในประเทศไม่ปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับทองคำโลก

ลุ้นทองคำแตะ2,600ดอลลาร์

และหากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย คาดว่าทองจะขึ้นไปอยู่บริเวณ 2,500-2,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ย แต่สิ่งที่ต้องคาดการณ์ คือ จะลด 0.25% หรือ 0.50%

นั่นทำให้สถานการณ์ราคาทองคำช่วงนี้ เป็นช่วงของการเก็งกำไร แบบลงซื้อ-ขึ้นขาย โดยช่วงราคาลงสามารถเข้าลงทุนได้โดยจนถึงสิ้นปีราคทองคำมีแนวรับ 2,450 ดอลลาร์ แนวต้านที่ 2,530 ดอลลาร์ ดังนั้นถ้าราคาหลุดแนวรับ ทองคำอาจจะ มีโอกาสลงต่อได้


กำลังโหลดความคิดเห็น