xs
xsm
sm
md
lg

สรรพากรจัดเก็บภาษีปีงบ 67 เข้าเป้า 2.28 ล้านล้านบาท เตรียมแก้ กม.เก็บภาษีบุคคลมีรายได้ต่างประเทศอยู่ไทยเกิน 180 วัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สรรพากรเผยปี 67 จัดเก็บภาษีตามเป้า 2.28 ล้านล้านบาท จากรายได้ 11 เดือนจัดเก็บภาษีได้ 1.963 ล้านล้านบาท เกินเป้ากว่า 0.4% ประมาณ 8,482 ล้านบาท เตรียมแก้ไขกฎหมายเก็บภาษีจากนิติบุคคลข้ามชาติขนาดใหญ่ พร้อมแก้กฎหมายเก็บภาษีผู้มีเงินได้จากต่างประเทศ สำหรับผู้พำนักในไทยเกิน 180 วัน

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “ในช่วง 11 เดือนของปีงบประมาณ2567 นี้ (ตุลาคม 2566-สิงหาคม 2567) กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บภาษีได้กว่า 1,963,205 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 8,482 ล้านบาท หรือ 0.4% และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 47,911 ล้านบาท หรือกว่า 2.5% ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มไปในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับมาตรการด้านภาษีของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา เช่น มาตรการ “Easy E-Receipt” ที่ช่วยเหลือประชาชนและร้านค้าที่เข้าร่วมออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax invoice & e-Receipt) ซึ่งเป็นมาตรการภาษีสำหรับประชาชนที่ใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากร้านค้าดังกล่าวสามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคคธรรมดา ปีภาษี 2567 และมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ ที่เป็นแรงส่งให้การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศยังคงขยายตัวได้ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 7.7%

“ในปีงบประมาณ 67 คาดว่าจะสามารถจัดเก็บงบประมาณได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ประมาณ 2.28 ล้านล้านบาท และในปีงบประมาณ 68 ตั้งเป้าจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรไว้ที่ 2.3725 ล้านล้านบาท เติบโต 4.2% จากปีงบประมาณ 67” น.ส.กุลยา กล่าว

การที่กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายที่กระทรวงการคลังได้มอบหมายไว้ เป็นส่วนสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศเอาไว้ได้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ ณ ขณะจัดทำประมาณการปี 2567 ซึ่งคาดว่า GDP จะขยายตัวกว่า 3.2% แต่ล่าสุดสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ปรับลดแนวโน้ม GDP ปี 2567 ว่าจะขยายตัวเพียง 2.5% จากตัวเลข GDP ครึ่งปีที่ขยายตัวต่ำที่เพียง 1.9% ถือเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือร่วมใจของเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร ที่พร้อมใจกันขับเคลื่อนกรมสรรพากรให้เป็นองค์กรที่นำเทคโนโลยีมายกระดับการบริการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้จริง ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุตัวผู้เสียภาษี ที่มีเงินได้ถึงเกณฑ์ต้องยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษี พร้อมกับส่งจดหมายแจ้งเตือนผู้เสียภาษีให้เข้าสู่ระบบภาษีหรือให้ชำระภาษี ตามกำหนดเวลา การอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษีในการตรวจสอบและ Pre-Fill ข้อมูลเงินได้ สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผ่านระบบ My Tax Account สำหรับผู้เสียภาษีที่ยืนยันตัวตนด้วย Digital ID ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถตรวจสอบข้อมูลทางภาษีได้สะดวกขึ้น ล้วนมีส่วนสนับสนุนให้การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรในช่วงที่ผ่านมาเป็นไปตามเป้าหมายทั้งสิ้น

อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกรมสรรพากรได้มีกลยุทธ์ในการจัดเก็บภาษี “SMILE RD” ซึ่งเริ่มใช้ในปีงบประมาณ 2567
S : Simplification การทำภาษีให้ง่ายและไร้รอยต่อ
M : Modernization มีความทันสมัย
I : Inclusivity and Innovation มีความทั่วถึง และมีนวัตกรรมด้วย
L : Legality and Compliance ถูกต้องตามระเบียบและข้อกฎหมาย
E : Efficiency มีประสิทธิภาพ
R : Responsiveness ตอบสนองความต้องการทั้งเจ้าหน้าที่และผู้เสียภาษี
D : Digitization ปรับองค์กรมุ่งสู่ Digital First

กรมสรรพากรยังคงเดินหน้าสานต่อนโยบาย “oneRD : ONE TEAM ONE SEAMLESS TAX ECOSYSTEM” ตามที่ปลัดกระทรวงการคลังได้ริเริ่มไว้ ทำภาษีให้ง่ายและไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น เตรียมความพร้อมสู่ระบบภาษีอากรที่เป็นดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงต้นปี พ.ศ.2568 กรมสรรพากรจะยกระดับบริการทางภาษีและแสดงข้อมูลทางภาษีให้ครบถ้วน โดยเปิดให้บริการ One Portal : My Tax เริ่มให้บริการกลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และต่อยอดการกำหนดให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภ.ง.ด.3 ทางอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น ซึ่งได้เริ่มใช้ในปีที่ผ่านมากับแบบ ภ.ง.ด.1 ภ.ง.ด.1 ก และ ภ.ง.ด.1 ก พิเศษ นอกจากนี้ ได้วางแผนการพัฒนา น้องอารีย์ Chatbot ด้วยการนำ ChatGPT เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการตอบคำถาม ในมิติของการทำงานของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ยังมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และการใช้เทคโนโลยี AI กับการประมวลผลข้อมูลภายในของกรมสรรพากร ร่วมกับข้อมูลที่ได้รับจากการเชื่อมโยงหรือแลกเปลี่ยนจากภายนอก เช่น ข้อมูลบัญชีทางการเงินที่มีธุรกรรมลักษณะเฉพาะ ข้อมูลบัญชีพิเศษจากอิเล็กทรอนิกส์แพลตฟอร์ม ข้อมูลที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศแบบอัตโนมัติ เป็นต้น ในการประเมินและวิเคราะห์หาพฤติกรรมของผู้เสียภาษี ซึ่งจะช่วยเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรในการจัดกลุ่มผู้เสียภาษีตามความเสี่ยงและสามารถเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมในมิติต่างๆ เช่น การตรวจสอบก่อนการคืนเงินภาษี หากเป็นผู้เสียภาษีกลุ่มเสี่ยงจะต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนคืนเงินภาษี

สำหรับการสร้างความเป็นธรรมและความทั่วถึงในการจัดเก็บภาษีอากร กรมสรรพากรยังคงให้ความสำคัญในการเสนอแนะและจัดทำนโยบายทางภาษีที่เหมาะสมและสอดคล้อง กับสภาพเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน เช่น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขาย Low-Value Goods รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์หรือกฎหมายการจัดเก็บภาษีให้มีความทันสมัย โดยกรมสรรพากรอยู่ระหว่างเร่งเสนอกฎหมายและเตรียมความพร้อมรองรับการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม ตามหลักการ Pillar 2 การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำ (Global Minimum Tax) ที่กำหนดให้กลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติขนาดใหญ่เสียภาษีเงินได้ ในอัตราภาษีที่แท้จริงไม่น้อย 15%

ขณะเดียวกัน กรมอยู่ระหว่างยกร่างหลักการที่เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีเงินได้จากต่างประเทศของบุคคลธรรมดาที่อยู่ในประเทศไทยเกิน 180 วัน ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี ซึ่งปัจจุบันหากมีเงินได้จากต่างประเทศ และนำเงินเข้ามาในประเทศไทยมีหน้าที่จะต้อง Declare และเสียภาษีเงินได้นั้นๆ อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบันหากยังไม่ได้นำเงินเข้ามาจะไม่ได้มีการเสียภาษี แต่หากในมุมของความเป็นธรรม World Wide income เงินได้ไม่ว่าจะได้จากที่ใด หากพำนักอยู่ในประเทศนั้นๆ เช่น สำหรับประเทศไทย ตามกฎหมายหากอยู่เกิน 180 วันมีหน้าที่ต้องเสียภาษี โดยไม่จำเป็นต้องดูว่านำเงินเข้ามาหรือไม่ ซึ่งส่วนนี้จะต้องแก้ไขกฎหมาย เพื่อจะทำให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้เสียภาษี

“เดิมบุคคลที่มีรายได้จากต่างประเทศและนำเงินเข้าประเทศถึงจะเสียภาษี แต่ในอนาคต หากอยู่ในไทยเกิน 180 วัน แต่มีรายได้จากต่างประเทศจะเสียภาษีทั้งหมด แต่หากบุคคลนั้นเสียภาษีแล้วในต่างประเทศ ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีอีก แต่ทั้งนี้จะต้องมาสำแดงให้ทราบ” น.ส.กุลยา กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น