นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (5 ก.ย.) ที่ระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นมากจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.23 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.85-34.30 บาท/ดอลลาร์ (ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ) โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 33.96-34.23 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTs Job Openings) เดือนกรกฎาคม ปรับตัวลดลงสู่ระดับราว 7.7 ล้านตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 8.1 ล้านตำแหน่ง สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ชะลอลงมากขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มโอกาสที่เฟดอาจเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ในแต่ละการประชุมที่เหลือในปีนี้ และโดยรวมเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่า -100bps ในปีนี้
นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถทยอยปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อีกครั้ง หนุนโดยการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงภาวะระมัดระวังตัวของตลาดการเงินโดยรวม
สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนสิงหาคม รวมถึงข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เช่น ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ซึ่งข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวันนี้ อาจส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้พอสมควร และอาจสร้างความผันผวนให้ตลาดการเงินหลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวได้
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม พร้อมรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB
และในฝั่งไทย เราประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป Headline CPI ในเดือนสิงหาคม จะชะลอลงสู่ระดับ 0.43% จากผลของระดับฐานราคาสินค้าและบริการที่อยู่ในระดับสูงของปีก่อนหน้า (+0.16%m/m) ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจยังคงอยู่แถวระดับ 0.54% ซึ่งแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย 1%-3% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่เรามองว่า ธปท. จะไม่ได้กังวลต่อการชะลอลงของอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวมากนัก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทยอยสูงขึ้นกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่าในช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจนหลุดโซนแนวรับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ทว่า ภาพดังกล่าวสอดคล้องกับที่เราประเมินไว้ในช่วงต้นสัปดาห์ว่า เงินบาทเสี่ยงผันผวนสองทิศทาง (Two-Way Volatility) ตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ซึ่งในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น การเคลื่อนไหวของเงินบาทสอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดอาจจำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ย จากข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาแย่กว่าคาด อย่างไรก็ดี เราคงมองว่าการแข็งค่าของเงินบาทอาจชะลอลงแถวโซนแนวรับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ หลังความกังวลแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยเข้าซื้อน้ำมันดิบในช่วงนี้ได้ (ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดใหม่ของปีนี้) และโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบดังกล่าวเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่า ขณะเดียวกัน ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดในช่วงนี้อาจเปิดโอกาสให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้เช่นกัน
อนึ่ง ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง หากราคาทองคำยังสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ หรืออย่างน้อยแกว่งตัว sideways ไปก่อน เพื่อรอรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยเรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชน ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน รวมถึงดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ซึ่งหากข้อมูลส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาดอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลต่อแนวโน้มการชะลอตัวลงหนักของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้บ้าง
ในทางกลับกัน หากข้อมูลส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาดชัดเจนจะยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดกังวลว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงหนัก จนเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ได้ ซึ่งในภาพดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดอาจยิ่งเพิ่มโอกาสที่เฟดจะเร่งลดดอกเบี้ยในแต่ละการประชุมที่เหลือของปีนี้ ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวลดลงเพิ่มเติม หนุนการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งจะช่วยให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ ทว่า เงินดอลลาร์อาจไม่ได้อ่อนค่าลงไปมากนัก เนื่องจากภาพเศรษฐกิจอื่นๆ ดูไม่สดใสเช่นกัน ทำให้เงินดอลลาร์อาจพอได้แรงหนุนบ้างจากความกังวลเศรษฐกิจโลกเสี่ยงชะลอตัวลงหนัก