นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือน ก.ค.67 ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือน ก.ค.67 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง และการส่งออกสินค้าที่กลับมาขยายตัวได้ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แม้ว่าจะมีสัญญาณดีขึ้นจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุนที่กลับมาขยายตัวได้ดี แต่ปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ยังคงชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เช่นเดียวกับปริมาณจดทะเบียนใหม่ของรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์
- เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนกรกฎาคม 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 11.4% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 2.1% ปริมาณรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และปริมาณจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือน ก.ค.67 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน -9.7% และ -3.7% แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 10.1% และ 0.7% ตามลำดับ
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในเดือน ก.ค.67 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 57.7 จากระดับ 58.9 ในเดือนก่อน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ประกอบกับค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี รายได้เกษตรกรที่แท้จริงในเดือน ก.ค.67 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 5.0%
- เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากสะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน ในเดือน ก.ค.67 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 13.8% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ที่ 16.9% ปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ ในเดือน ก.ค.67 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -12.0% แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ที่ 13.4%
สำหรับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือน ก.ค.67 ขยายตัวเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 0.7% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ที่ 5.7% ขณะที่ภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือน ก.ค.67 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 7.1% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 18%
- มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวในระดับสูงจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือน ก.ค.67 อยู่ที่ 25,720.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 15.2% และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัว 9.3% เนื่องจากการขยายตัวของสินค้าในหมวดเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ สินค้ายางพารา อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และข้าว อย่างไรก็ดี การส่งออกน้ำตาลทราย และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นในตลาดอินเดีย 36% สหรัฐฯ 26.3% อาเซียน (9) 18.6% และจีน 9.9% อย่างไรก็ดี ตลาดตะวันออกกลางหดตัว -3.7% และทวีปออสเตรเลียหดตัว -2.8%
- เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน โดยเฉพาะบริการด้านการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือน ก.ค.67 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม 3.1 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 24.6% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 1.6% โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และ สปป.ลาว ตามลำดับ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือน ก.ค.67 จำนวน 22.0 ล้านคน ขยายตัว 11.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 3.4%
ขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรม ในเดือน ก.ค.67 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน -1.4% ตามการลดลงของผลผลิตในหมวดพืชผลสำคัญ เช่น ยางพารา และมันสำปะหลัง อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลขยายตัว 2.2%
สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือน ก.ค.67 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 89.3% จากระดับ 87.2%ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในประเทศในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและยา อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยกดดันจากกำลังซื้อผู้บริโภคยังอ่อนแอ จากปัญหาหนี้สินที่เร่งตัวขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก
- เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ก.ค.67 อยู่ที่ 0.83% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.52% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือน มิ.ย.67 อยู่ที่ 63.5% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ที่ตั้งไว้ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561
สำหรับเสถียรภาพภายนอก ยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือน ก.ค.67 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 230.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ