ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง เร่งพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนใน สปป.ลาว-กัมพูชา-เวียดนามเต็มสูบ ควบคู่แผนพัฒนาธุรกิจในประเทศโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 4 โครงการ เตรียมยื่นไฟลิ่ง “สยาม พาวเวอร์” บริษัทร่วมทุนเข้าระดมทุนใน mai ปีนี้ หวังดันผลงานโตกระโดด
นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TPCH) ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เปิดเผยว่า บริษัทเดินหน้าลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนในต่างประเทศ โดยพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ใน สปป.ลาว ซึ่งเข้าร่วมลงทุนกับบริษัท แม่โขง พาวเวอร์ จํากัด (MKP) ในสัดส่วน 40% มูลค่า 12.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบธุรกิจผลิต และจําหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ใน สปป.ลาว และ MKP ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 100 เมกะวัตต์ กับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL) เรียบร้อยแล้ว โดยมีระยะเวลา 25 ปี นับจากวันที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD)
ปัจจุบัน ได้มีการปรับพื้นที่เพื่อเตรียมก่อสร้าง และได้เริ่มงานด้านโครงสร้างและรั้วกั้นโซนติดตั้งสถานีไฟฟ้า (Substation) บางส่วนแล้ว รวมถึงได้เซ็นสัญญางานวิศวกรรม งานจัดซื้อ และงานก่อสร้าง (Engineering, Procurement and Construction (EPC Contract) กับผู้รับเหมาจากประเทศจีน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างอย่างเป็นทางการได้ในช่วงไตรมาส 1/2568
ส่วนการลงทุนในประเทศกัมพูชา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาต โดยตั้งเป้าหมายมีกำลังการผลิตของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ประมาณ 180-200 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานลม ประมาณ 50-100 เมกะวัตต์
“การลงทุนและพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนใน สปป.ลาว มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้มีการปรับพื้นที่เพื่อรอการก่อสร้าง และได้เริ่มก่อสร้างในส่วนงานโครงสร้างแล้ว นอกจากนี้ เราได้จัดทำประมาณการของโครงการ พบว่า ปัจจุบันราคาของแผงโซลาร์เซลล์มีราคาลดลง เนื่องจากมีผู้ขายในตลาดมากขึ้น และมีประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทในแง่ของการช่วยลดต้นทุนในการก่อสร้างและการผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากขึ้น ทำให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น และยังมีแผนที่จะส่งไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ไปจำหน่ายในประเทศเวียดนามอีกหนึ่งโครงการ” นางกนกทิพย์ กล่าว
นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH กล่าวว่า สำหรับการลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนในประเทศ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะปัจจุบัน ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าขยะชุมชน สยาม พาวเวอร์ หนองสาหร่าย (SPNS) มีกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน สยาม พาวเวอร์ นากลาง (SPNK) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ ได้เซ็น PPA เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาผู้รับเหมา และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงไตรมาส 3/2567 พร้อมกันนี้ บริษัทกำลังพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะเพิ่มประมาณ 4 โครงการ ประกอบด้วย SP4-SP7 เป็นโครงการพลังงานขยะชุมชนในรูปแบบ VSPP (Very Small Power Producer)
“TPCH มีแผนที่จะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ฯ (Filing) ของบริษัท สยาม พาวเวอร์ จำกัด (SP) ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 50% ที่ร่วมกันพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในไตรมาส 4/2567 เพื่อระดมทุนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ในโครงการ SPNS, SPNK และโครงการอื่นๆ ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าประเภทเชื้อเพลิงชีวมวล ทั้ง 7 แห่ง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าชีวมวล CRB, MWE, MGP, TSG, PGP, SGP, PTG มีกำลังการผลิตติดตั้ง 80.7 เมกะวัตต์ ยังสามารถเดินเครื่องได้ตามปกติ พร้อมมุ่งเน้นการพัฒนา ควบคุมบริหารเชื้อเพลิงและต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่า แผนการลงทุน พัฒนาโครงการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะช่วยผลักดันผลงานให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด” นายเชิดศักดิ์ กล่าว
ปัจจุบัน TPCH มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 110 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล 80.7เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 29.3 เมกะวัตต์ โดยในปี 2569 ยังคงเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตรวม 500 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าในประเทศ 150 เมกะวัตต์ ทั้งโรงไฟฟ้าประเภทพลังงานชีวมวล และโรงไฟฟ้าประเภทพลังงานขยะ รวมถึงโครงการในต่างประเทศ เป็นโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม 350 เมกะวัตต์
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2567 มีมติอนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดให้ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.23 บาท/หุ้น กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record Date) วันที่ 4 กันยายน 2567 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 3 กันยายน 2567 และจ่ายปันผลในวันที่ 17 กันยายน 2567
อนึ่ง ภาพรวมผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567) บริษัทมีกำไรสุทธิ 186.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.18% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 139.28 ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,227.05 ล้านบาท
ขณะที่งวดไตรมาส 2/2567 บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ จำนวน 85.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 28.91 ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 605.25 ล้านบาท