นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงาน Thailand Focus 2024 หัวข้อ "Embracing Change, Igniting Growth" (ก้าวทันการเปลี่ยนแปลง จุดพลังการเติบโต) โดยระบุว่า ในปีที่ผ่านมา การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยไม่ดีเท่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลกระทบจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก แรงกระแทกจากการเมือง และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่ไทยก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว จนสามารถบ่มเพาะการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้
โดยตัวเลขล่าสุดจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่นำโดยมูลค่าการบริโภคของภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว ทำให้เราสามารถคาดหวังการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 2.3-2.8% ในครึ่งปีหลังนี้ได้ และรัฐบาลจะเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายภาครัฐอีกด้วย
รมช.คลัง กล่าวว่า ในปีหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราได้เห็นแล้วว่าการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับระบบเศรษฐกิจ ประเทศไทยมีความเข้มแข็งหลักในแง่ของพื้นที่ตั้งที่ได้เปรียบ ทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย และแรงงานที่มีความพร้อม ทำให้คาดหวังการเติบโตทางเศรษฐกิจว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลตระหนักว่าภาวะโลกร้อน เป็นปัญหาระดับโลกที่ต้องได้รับการพูดถึงและแก้ไขอย่างเร่งด่วน และการเผยโฉมของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกัน ดังนั้น การได้รับแรงสนับสนุนจากการลงทุนทั้งภายใน และต่างประเทศ จะเป็นแรงเสริมให้ระบบเศรษฐกิจประเทศไทยเติบโตอย่างมั่นคงได้
นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า รัฐบาลได้สร้างแรงจูงใจอันหลากหลายให้กลุ่มธุรกิจที่ต้องการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้แสดงให้เห็นว่ามีการก่อตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้นมากถึง 64% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และอุตสาหกรรมยานยนต์ ทำให้รัฐบาลเล็งเห็นถึงการจัดวางตำแหน่งประเทศไทย ให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมมูลค่าสูง (High-valued industry)
"รัฐบาลได้วางเป้าหมายที่จะสร้างนโยบายเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ที่ต้องการลงทุนในประเทศไทย เพื่อที่จะจุดประกายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคในที่สุด โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว เกษตรกรรม เศรษฐกิจดิจิทัล และการเงิน ด้วยความมุ่งหวังที่จะให้ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการเงินระดับภูมิภาคในอนาคต ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยอยู่ในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูง และพลังงานสีเขียว" รมช.คลัง กล่าว
ขณะเดียวกัน รัฐบาลมีมาตรการหลากหลายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลงทุนทางการเงินที่มีพัฒนาการในหลายแง่มุม โดยเฉพาะธรรมาภิบาลที่ดีขึ้น ทำให้ผู้ลงทุนมองเห็นว่าประเทศไทยน่าลงทุนมากขึ้น หรือกองทุนวายุภักษ์ที่จะเปิดในปีนี้ เป็นมาตรการที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน และโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทย โดยเฉพาะนโยบาย Entertainment Complex ที่เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในขณะนี้ เพราะจะเป็นการรวมความบันเทิงอันหลากหลาย เช่น Concert Halls และกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ไว้ในสถานที่เดียว
รมช.คลัง กล่าวต่อว่า การพัฒนาระบบเศรษฐกิจประเทศไทยให้หลากหลาย เป็นความมุ่งหวังในการสร้างความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจให้ประเทศ ซึ่งรัฐบาลยังมีการขยายโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เช่น การขยายสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ การพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง และการเชื่อมต่อระหว่างชายฝั่งอันดามันและอ่าวไทย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์แห่งการเชื่อมต่อระดับภูมิภาค
"หากมองไปในอนาคตข้างหน้า จะเห็นว่าประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เรามีทั้งความยืดหยุ่น และการปรับตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูง ขอเชิญชวนผู้ลงทุนทุกท่าน ให้มองหาโอกาสในการลงทุนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทางการเงิน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือการเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทที่มีศักยภาพในประเทศไทย เพื่อให้เราทุกคนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน" นายเผ่าภูมิ กล่าวในท้ายสุด