xs
xsm
sm
md
lg

มหาเศรษฐีมั่นใจBTCไปไกลแตะหลัก$ล้าน มีสิทธิ์ยืนหนึ่งสินทรัพย์ปลอดภัยแทนทองคำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


- นักลงทุนระดับมหาเศรษฐีมองบิตคอยน์เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นสินทรัพย์เก็บรักษามูลค่าในระยะยาว
นอกจากมีแนวโน้มราคาพุ่งแตะหลักล้าน นักลงทุนระดับมหาเศรษฐียังเชื่อมั่นว่า บิตคอยน์สามารถเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ รวมถึงเป็นสินทรัพย์เก็บรักษามูลค่าในระยะยาวเช่นเดียวกับทองคำ และอาจกลายเป็นผู้นำตลาดแทนที่ทองคำด้วยซ้ำ

แม้ช่วงนี้บิตคอยน์มีปัญหาในการยืนระยะเหนือระดับ 60,000 ดอลลาร์ แต่นักลงทุนตัวท็อปหลายคนยังคงมั่นใจว่า ที่สุดแล้วเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกสกุลนี้จะไต่ทะลุ 1 ล้านดอลลาร์สำเร็จ
ในงานบิตคอยน์ 2024 ที่แนชวิลล์เมื่อเดือนที่แล้ว ไมเคิล เซย์เลอร์ ประธานบริหารไมโครสเตรทเตอจี ถึงขั้นทำนายว่า ราคาบิตคอยน์จะไปไกลถึง 13 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2045 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 20,000% จากราคาปัจจุบัน

เดอะ ม็อตลีย์ ฟูลรายงานว่า เศรษฐีระดับพันล้านหลายคน ซึ่งรวมถึงบางคนที่เคยไม่ไว้ใจคริปโตมาตลอด กำลังสะสมบิตคอยน์เพิ่ม แต่ไม่ได้เป็นเพราะคาดหวังผลตอบแทนก้อนใหญ่เท่านั้น

แม้หลายคนยังสงสัยในการคาดการณ์ของเซย์เลอร์ เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนบิตคอยน์คนสำคัญและมีส่วนได้ส่วนเสียกับการทำให้นักลงทุนจำนวนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ตื่นตาตื่นใจกับศักยภาพการเติบโตในอนาคตของคริปโตสกุลนี้ อีกทั้งบริษัทที่เขาบริหารยังเป็นองค์กรธุรกิจที่ถือครองบิตคอยน์มากที่สุดในโลกในปัจจุบัน

ทว่า ไม่ได้มีเพียงเซย์เลอร์เท่านั้น แต่ยังมีนักลงทุนเด่นดังหลายคนที่คาดการณ์ว่า ราคาบิตคอยน์จะทะลุ 1 ล้านดอลลาร์ในวันหนึ่งข้างหน้า ตัวอย่างเช่น เคธี วูด จากอาร์ก อินเวสต์ ที่คิดว่า บีทีซีกำลังมุ่งหน้าสู่เป้าหมาย 3.8 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

ขณะที่บริษัทการลงทุน เบิร์นสไตน์ คาดว่า ราคาบิตคอยน์จะแตะ 1 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2033 และเหล่าผู้บริหารสมองเพชรในซิลิคอนแวลลีย์หลายคนที่ถูกเทคโนโลยีดิจิทัลที่รองรับบีทีซีตก ส่งสัญญาณว่า คริปโตสกุลนี้จะทะลุ 1 ล้านดอลลาร์ในอนาคตเช่นเดียวกัน

นักลงทุนจำนวนมากมองไปไกลกว่ามูลค่าของบิตคอยน์ในรูปสินทรัพย์เพื่อเก็งกำไร แต่ยกให้เป็นเครื่องมือลงทุนป้องกันความเสี่ยงทางการเมือง เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์
พอล ทูดอร์ โจนส์ มหาเศรษฐีและผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ แนะนำนักลงทุนที่กังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปให้พิจารณาการซื้อบิตคอยน์ ซึ่งเขามองว่า เป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงเช่นเดียวกับทองคำ

โจนส์บอกว่า ตอนนี้มีสองเรื่องที่ต้องกังวลเป็นพิเศษ เรื่องแรกคือสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางและความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามทั่วภูมิภาค ส่วนอีกเรื่องคือสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคในอเมริกา เนื่องจากเขามองว่า หนี้ของรัฐบาลถึงระดับที่ไม่ยั่งยืน และการลงทุนในบิตคอยน์คือวิธีหนึ่งที่จะช่วยปกป้องพอร์ตของนักลงทุนจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุด

สุดท้าย นักลงทุนระดับมหาเศรษฐีกำลังมองบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่เก็บรักษามูลค่าในระยะยาว ตัวอย่างเช่น สแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่เชื่อว่า บิตคอยน์เทียบได้กับทองคำในแง่มุมนี้ และอาจกลายเป็นผู้นำตลาดแทนที่ทองคำด้วยซ้ำ

นักลงทุนเบอร์ต้นๆ หลายคนในวอลล์สตรีทคิดไม่ต่างจากดรักเคนมิลเลอร์ ปี 2022 โกลด์แมน แซคส์ บริษัทการลงทุนแถวหน้า ชี้ว่า ในที่สุดบิตคอยน์จะครอบครองตลาดสินทรัพย์ที่เก็บรักษามูลค่าได้ถึง 50% ขณะที่วูดจากอาร์ก อินเวสต์ ทำนายว่า บีทีซีจะมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นในตลาดดังกล่าว

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ควรลืมว่า มีความเป็นไปได้ที่มหาเศรษฐีเหล่านี้อาจคาดคะเนผิด โดยหลังจากราคาบิตคอยน์ดิ่งฮวบ 15% ภายในเวลาชั่วข้ามคืนเมื่อต้นเดือน บรรดานักวิจารณ์ขาประจำต่างชวนกันออกมาค่อนแคะสนุกปาก
บ้างบอกว่า ราคาบิตคอยน์มีโอกาสดำดิ่งมากกว่าวิ่งขึ้นไปแตะ 1 ล้านดอลลาร์ บางคนชี้ว่า นักลงทุนที่เทเงินเดิมพันกับกองทุน spot Bitcoin ETF กำลังหลงอยู่ในกระแสการเก็งกำไรขนาดใหญ่ หลายคนเชื่อว่า บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์เสี่ยงที่ไม่มีหลักประกันความปลอดภัยระหว่างที่ตลาดล่มเช่นเดียวกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ
 
คำวิจารณ์เหล่านี้มีเหตุผลถูกต้องชอบธรรมเช่นเดียวกับการคาดการณ์ของเหล่าผู้สนับสนุนบิตคอยน์ นักลงทุนจึงควรอย่างยิ่งที่จะฟังหูไว้หูเพื่อตัดสินใจด้วยข้อมูลที่รอบด้านมากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น