นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (15 ส.ค.) ที่ระดับ 35.09 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.97 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.95-35.20 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นแถวโซน 34.90 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนที่จะพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในช่วง 34.91-35.21 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ เช่น ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ล้วนออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนัก และยิ่งลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ลง โดยล่าสุดจาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดคาดว่าเฟดมีโอกาส 75% ที่จะลดดอกเบี้ยลง -25bps ในการประชุมเดือนกันยายน นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวลงกว่า -30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อย่างไรก็ดี เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าจนทะลุโซนแนวต้าน 35.15-35.20 บาทต่อดอลลาร์ที่เราประเมินไว้ได้อย่างชัดเจน หลังราคาทองคำสามารถรีบาวนด์ขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรการรีบาวนด์ของราคาทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าว รวมถึงแรงขายเงินดอลลาร์จากผู้เล่นในตลาดบางส่วนสามารถช่วยหนุนค่าเงินบาท
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม ซึ่งหากออกมาดีกว่าคาดอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจยังไม่รีบลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนได้ โดยในกรณีดังกล่าวอาจพอช่วยหนุนให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) สามารถแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนสิงหาคม โดยเฉพาะในส่วนของคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้
และในฝั่งไทย ไฮไลต์สำคัญที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด คือ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ในช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งผู้ที่จะได้เป็นนายกฯ นั้นจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนมากกว่า 247 เสียง จากจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 493 ท่าน โดยหากผลการโหวตเลือกนายกฯ เป็นไปโดยราบรื่น และตามที่ตลาดคาดหวัง เรามองว่าตลาดการเงินไทยอาจกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ได้
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้เงินบาทจะผันผวนอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และจังหวะปรับตัวลดลงของราคาทองคำในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่ทว่า ในเชิงเทคนิคัลนั้น เราจะมั่นใจมากขึ้นว่าเงินบาทได้เข้าสู่ช่วงผันผวนอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 35.15-35.20 บาทต่อดอลลาร์ได้ชัดเจน ซึ่งภาพดังกล่าวยังไม่ได้เกิดขึ้น และอาจจะต้องรอให้ตลาดรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม เช่น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด (รอติดตามงานสัมนาประจำปีของเฟดที่เมือง Jackson Hole) จนทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดจะไม่เร่งลดดอกเบี้ยในปีนี้ และอาจลดดอกเบี้ยราว -75bps (หรือน้อยกว่านั้น) หรืออาจเป็นปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงและบานปลายมากขึ้น (แต่ในกรณีนี้ เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนหากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้) หรือสถานการณ์การเมืองไทยยังคงเผชิญความไม่แน่นอนอยู่
โดยในส่วนของสถานการณ์การเมืองไทยนั้น เรามองว่า ในวันนี้มีความเป็นไปได้ว่า พรรคเพื่อไทยและบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลจะสามารถลงคะแนนเสียงเพื่อโหวตให้แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ คนถัดไปได้สำเร็จ ทำให้ตลาดอาจคลายกังวลต่อประเด็นความไม่แน่นอนของการเมืองไทย ส่งผลให้บรรยากาศในตลาดการเงินไทยอาจกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) และมีโอกาสที่จะเห็นนักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้บ้าง ซึ่งจะช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาท และทำให้เงินบาทอาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ sideways ในช่วงนี้ได้ ทั้งนี้ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านที่เราประเมินไว้ได้ อาจมีโซนแนวต้านถัดไปแถว 35.30 บาทต่อดอลลาร์ และ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญ ขณะที่บริเวณ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ อาจเป็นแนวรับในช่วงนี้ โดยมีแนวรับถัดไปแถว 34.85 บาทต่อดอลลาร์