นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (15 ส.ค.) ที่ระดับ 35.08 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.92 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.00-35.30 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน ก่อนที่จะทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในช่วง 34.84-35.10 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงหลังตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ที่ชะลอลงต่อเนื่องสู่ระดับ 2.9% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เล็กน้อย (+0.2%m/m ตามคาด) ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มทยอยปรับลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดกลับมามองว่า การชะลอตัวลงของอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวอาจทำให้เฟดลดดอกเบี้ยเพียง -25bps ตามปกติ ในการประชุมเดือนกันยายน จากที่ก่อนหน้า ตลาดคาดหวังว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยถึง -100bps (ทั้งนี้ในภาพรวม ผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยราว -100bps ในปีนี้ อยู่) ซึ่งการปรับมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้ช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น
นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่โซนแนวรับระยะสั้น 2,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังไม่ได้น่ากังวลอย่างที่ตลาดเคยประเมินไว้ (ทั้งนี้ เราขอย้ำว่าควรระวังความผันผวนจากปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงที่ทางอิหร่านและพันธมิตร Axis of Resistance จะโจมตีอิสราเอล) อนึ่ง ความไม่แน่นอนของการเมืองไทยอาจเป็นอีกปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่า แต่ท่าทีของนักลงทุนต่างชาติในวันก่อนหน้านั้นสะท้อนว่า ความเสี่ยงการเมืองไทยอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติได้รับรู้ (priced-in) ไปพอสมควรแล้ว
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึงดัชนีสะท้อนภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากเฟดสาขานิวยอร์กและเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า เศรษฐกิจอังกฤษอาจขยายตัวราว +0.9%y/y
ทางฝั่งเอเชียนั้น ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน เช่น ยอดค้าปลีก ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม และยอดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ที่อาจเริ่มส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 6.50% ในปัจจุบัน
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นกลับมามีกำลังมากขึ้นอีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งทำให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ขณะเดียวกัน กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง ที่ในช่วงนี้ราคาทองคำก็ขาดปัจจัยหนุน หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางดูจะยังไม่ทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างที่ตลาดเคยกังวล อย่างไรก็ดี ในเชิงเทคนิคัลนั้นเราจะมั่นใจได้มากขึ้นว่า เงินบาทอาจเข้าสู่ช่วงผันผวนอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 35.15-35.20 บาทต่อดอลลาร์ได้ชัดเจน ซึ่งเรามองว่า ในระยะสั้นควรจับตาสถานการณ์การเมืองไทยที่อาจกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงได้ หากบรรดานักลงทุนต่างชาติกังวลต่อสถานการณ์การเมืองไทยมากขึ้นและเลือกที่จะลดการถือครองสินทรัพย์ไทย โดยหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้นั้น อาจอ่อนค่าลงต่อทดสอบโซนแนวต้านสำคัญแถว 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้นั้นอาจจำกัดอยู่แถวโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ ฝั่งสนับสนุนการแข็งค่าของเงินบาทเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่าควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน ในช่วงราว 9.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งอาจส่งผลให้เงินหยวนจีน (CNY) ผันผวนและกระทบต่อบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียได้บ้าง นอกจากนี้ ตั้งแต่ช่วง 19.30 น.เป็นต้นไป ควรระวังความผันผวนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้