PROUD ธุรกิจอสังหาฯ ของตระกูล "ลิปตพัลลภ" เดินหน้าเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัยพ์ฯ ได้ฤกษ์เข้าเทรด SET กลุ่มพัฒนาอสังหาฯ วันแรก 6 ส.ค.2567 ตามแผน ตอกย้ำศักยภาพธุรกิจ เพิ่มโอกาสนักลงทุนรายย่อย กองทุนใน-ต่างประเทศเข้าลงทุน มุ่งเน้นกลยุทธ์ขับเคลื่อนสู่หุ้นยั่งยืนตอบโจทย์ด้าน ESG ตัวเลือกใหม่การลงทุนเพื่ออนาคต เป้าหมายสู่หุ้นกองทุน Thai ESG สร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในทุกมิติ เดินหน้าใช้ Ai ปัญญาประดิษฐ์ ควบคู่การพัฒนานวัตกรรมการออกแบบที่อยู่อาศัย การบริการ และการสร้างสรรค์รูปแบบชีวิตที่เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมและสังคมรอบด้าน พร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตในทุกมิติ
นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทผ่านคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในการย้ายหุ้น PROUD เข้าไปทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค.2567 ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัทที่สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากการขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีหลากหลายรูปแบบ ทั้งในส่วนที่บริษัทพัฒนาและทำการควบรวมกิจการที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลประกอบการเพิ่มขึ้น มีความสามารถในการทำกำไรที่ดี และมีฐานะการเงินแข็งแกร่งท่ามกลางสภาวะตลาดอสังหาฯ ที่ต้องเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจชะลอตัว
การย้ายเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นโอกาสยกระดับธุรกิจของ PROUD ให้เติบโตอย่างมีศักยภาพ ตอกย้ำความเชื่อมั่นให้ผู้ถือหุ้น และดึงดูดสถาบันทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงนักลงทุน High-Net-Worth Individual และนักลงทุนรายย่อย ตลอดจนคู่ค้าพันธมิตรทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
“ตลอดระยะเวลาที่จดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอ PROUD ถือเป็นหุ้น High Growth ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง สามารถสร้างผลตอบแทนดีกว่าสภาวะตลาดรวม โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันสามารถรักษาผลตอบแทนราคาเป็นบวก ขณะที่ตลาดเอ็มเอไอปรับตัวลงกว่า 13% และหุ้นกลุ่ม PROPCON ที่ปรับตัวลงกว่า 19% และยังเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเน้นคุณค่า (VI) รวมถึงยังมีกองทุนต่างชาติจากประเทศสิงคโปร์เข้าถือหุ้น ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการดำเนินงานที่โดดเด่นตลอดมา ซึ่งสวนทางกับสภาวะอุตสาหกรรมอสังหาฯ”
สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ PROUD หลังจากในปีที่ผ่านมามีการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากการควบรวมกิจการในสองโครงการจาก NOBLE ซึ่งโครงการแรกได้มีการทยอยรับรู้รายได้แล้ว และในปีนี้บริษัทยังมี Backlog ในมือกว่า 10,692 ล้านบาทที่พร้อมทยอยรับรู้รายได้ในปี 2567-2569 โดยโครงการที่อยู่ระหว่างการขายทุกโครงการได้รับความสนใจจากกลุ่มเรียลดีมานด์และชาวต่างชาติ ซึ่งมียอดขายเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2 ปี 2567 มียอดจองจากชาวต่างชาติเติบโตสูงถึง 14% เมื่อเทียบกับปี 2566
บริษัทยังคงสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสภาวะตลาดอสังหาฯ ที่ต้องเผชิญความท้าทาย และด้วยความแตกต่างของบริษัทที่มุ่งเน้นพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์และชาวต่างชาติซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงสุดในตลาดและเป็นฐานลูกค้าของบริษัท อีกทั้งบริษัทได้ริเริ่มนวัตกรรมใหม่ๆ ในการนำปัญญาประดิษฐ์ (Ai) มาปรับใช้งานบริการและการออกแบบโครงการ ควบคู่การดำเนินงานด้านความยั่งยืนอื่นๆ อย่างรอบด้าน จึงมั่นใจได้ว่าบริษัทจะสามารถผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตตามเป้าหมาย พร้อมก้าวสู่การเติบโตต่ออย่างแข็งแกร่ง
มากไปกว่านั้น บริษัทได้มีการวางแผนยุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืนเพื่อยกระดับการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ตามกลยุทธ์และเป้าหมายที่ชัดเจนภายใต้กรอบนโยบายที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาความยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) และยังได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรทางธุรกิจอีกมากมาย
โดยในปีนี้ บริษัทได้เข้าร่วมโครงการพัฒนากับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อพัฒนามาตรฐานการดำเนินงานด้านความยั่งยืนร่วมกับที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ เป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในหุ้นของกองทุนด้านความยั่งยืน (Thai ESG) ซึ่งปัจจุบันที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติสิทธิพิเศษด้านภาษีที่สามารถขอลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้ทั้งปี และไม่เกิน 300,000 บาทเพิ่มเติมจากกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ เป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนในยุคปัจจุบันโดยคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนได้มากขึ้น จากการขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ เป้าหมายสู่การได้เป็นหนึ่งในหุ้นกองทุนด้านความยั่งยืน (Thai ESG) จะทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักในระดับสากลและสามารถดึงดูดนักลงทุนให้บริษัท ส่งผลโดยตรงต่อการสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนได้อีกมากในอนาคต