โบรกเกอร์ จับตาการเมืองร้อนชี้ชะตาหุ้นไทยเดือนส.ค. ทั้งยุบพรรคก้าวไกล ถอดถอนนายกฯ พร้อมประเมินกรอบ SET Index ที่ 1,250 - 1,370 จุด ประเมินหากผลเป็นบวกหนุนหุ้นไทยฟื้น ขณะที่ลุ้นงบบจ. โค้ง2 แนะถือเงินสดบางส่วนรอ ส่วนธีมหุ้นน่าสนใจ เชียร์กลุ่มหุ้นส่งออก - หุ้นที่มีดีมานด์ต่างประเทศหนุน
ASPS ให้กรอบหุ้นส.ค. 1,288 - 1,350 จุด ชี้หุ้นไทยยังผันผวน
บทวิเคราะห์จาก บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า SET Index เดือน ส.ค.นี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,288 - 1,350 จุด โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การเมืองในประเทศเข้าใกล้ความชัดเจน 2 คดี ทั้งการยุบพรรคก้าวไกล และ คดีถอดถอนนายกฯ"เศรษฐา ทวีสิน" ซึ่งในช่วงเวลาก่อนรู้ผลตัดสิน จะมีการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุน ซึ่งอาจกดดันตลาดหุ้นไทยผันผวนได้
อย่างไรก็ดี เริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุงตลาดหุ้นไทย ทั้ง SET Index ช่วงที่ผ่านมา ปรับตัวลงลึกกว่ามูลค่าพื้นฐานในเชิง P/E และ P/BV และ Market Earning Yield Gap
นอกจากนี้เศรษฐกิจไทย BOTTOM OUT จากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายภาครัฐ, ภาคการการลงทุน, รวมถึงภาคการบริโภค คาดเป็นตัวช่วยให้การเติบโตของ GDP ไทยทยอยเติบโตเป็นแบบขั้นบันได และยังมีแรงผลักดันดัชนีจากประเด็นอื่น ทั้งการเพิ่มเสถียรภาพจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่น เกณฑ์ UPTICK และรอรับเม็ดเงินจากกองทุน THAIESG ใหม่ที่ผ่าน คณะรัฐมนตรี (ครม.) เรียบร้อย คาดจะช่วยหนุนดัชนีได้
ขณะที่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงในหลายประเทศเริ่มชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ เชื่อว่าจะช่วยลดความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน หนุนให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพทยอยแข็งค่า และ Fund Flow ไหลกลับมากขึ้น หลังก่อนหน้านี้ Fund Flow ต่างชาติไหลออก 1.2 แสนล้านบาท (YTD) กดดัน SET Index ปรับตัวลงอย่างหนัก
ทิสโก้ แนะถือเงินสดบางส่วนรอการเมืองไทย-สหรัฐฯ ชัดเจน
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ในเดือนสิงหาคมเป็นช่วงที่นักลงทุนควรจับตาการเลือกตั้งของสหรัฐฯ และการเมืองในประเทศ ซึ่งทั้งสองประเด็นจะมีผลต่อความเคลื่อนไหวของหุ้นไทยในเดือนนี้
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักจะผันผวนต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่ทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงก่อนและหลังเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2473 หรือหลังวิกฤตเศรษฐกิจ “Great Depression” พบว่า ตลาดมักจะเคลื่อนไหวผันผวนโดยเฉพาะในช่วง 2-3 เดือนก่อนการเลือกตั้งมักจะปรับตัวลง ก่อนที่จะกลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้งหลังการเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าเป็นผลจากนักลงทุนใช้ความระมัดระวังการซื้อขายในช่วงใกล้ถึงวันเลือกตั้ง และกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้งหลังมีความชัดเจนของผลการเลือกตั้งแล้ว
ด้านปัจจัยการเมืองในประเทศ ประเด็นที่ยังไม่แน่นอนและมีน้ำหนักต่อตลาดจนถึงขณะนี้ คือ คดีนายกฯ เศรษฐา จะขาดคุณสมบัติหรือไม่ เพราะในกรณีคำวินิจฉัยออกมาเป็นลบต่อนายกฯ จะไปนำสู่การเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ต้องเสียเวลาไม่น้อยกว่า 2 เดือนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มเข้ามาบริหารประเทศอาจกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายแล้ว และยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลใหม่ด้วยว่าจะสานต่อนโยบายของรัฐบาลเดิม หรือยกเลิก หรือปรับเปลี่ยนใหม่
สำหรับผลคำวินิจฉัยในคดีนายกฯ เศรษฐา มีความไม่แน่นอนสูง คาดการลงมติเสียงของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาแบบก้ำกึ่ง ดังนั้น ในเชิงกลยุทธ์ จังหวะการลงทุนเดือนนี้ควรถือเวลาเป็นเกณฑ์มากกว่าระดับราคาหุ้น รอคดีทางการเมืองมีความชัดเจนก่อนเข้าลงทุนก็ยังไม่สาย โดย บล.ทิสโก้แนะนำนักลงทุนควรมีเงินสดถือไว้บางส่วนไว้ในกรณีที่คำตัดสินออกมาในเชิงลบต่อนายกฯ
โดยธีมหุ้นที่น่าสนใจในเดือนนี้ บล.ทิสโก้มองการเก็งกำไรในหุ้นที่คาดผลประกอบการไตรมาส 2/67 จะออกมาดี และมีแนวโน้มไตรมาส 3/67 ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นส่งออกและหุ้นที่มีดีมานด์จากต่างประเทศช่วยหนุน ชอบ AMATA, CENTEL, CPF, DMT, ITC, KCE
นอกจากนี้ หุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามากเกินไปคาดหวังเป็นจุดต่ำ (Bottom Fishing) แนะนำ AP และหุ้นที่คาดกำไรครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก และมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวในระยะสั้น COM7 เพราะฉะนั้นหุ้นเด่นในเดือนสิงหาคม คือ AMATA, AP, CENTEL, COM7, CPF, DMT, ITC และ KCE
แนวรับสำคัญเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 1,280 จุด 1,290 จุด และ 1,250 จุด ตามลำดับ และแนวต้านสำคัญของเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 1,330 จุด 1,350 จุด และ 1,360 จุดตามลำดับ
ดาโอ แนะจับตาคดีการเมืองยุบพรรค - นายกฯ
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า การเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทย (SET Index) เดือน ส.ค.นี้ อยู่ในกรอบ 1,300 - 1,340 จุด อย่างไรก็ตาม หากระหว่างเดือน ดัชนีสามารถเคลื่อนไหวผ่านระดับ 1,330 จุดไปได้ จะเปิดอัพไซด์ให้แนวต้านของเดือน ส.ค.เพิ่มขึ้นเป็น 1,340 - 1,360 จุด แต่หากฝ่าแนวต้านดังกล่าวไม่ได้ คาด SET Index จะกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบ 1,280 - 1,332 จุด
โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามในเดือน ส.ค.นี้ คือ เรื่องการเมืองในประเทศ หลังตลาดกำลังรอฟังคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ และวันที่ 14 ส.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของ "เศรษฐา ทวีสิน" ว่าจะเป็นเช่นไร หากผลออกมาดี จะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย อีกทั้งนักลงทุนยังจับตารอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาล นอกเหนือจากดิจิทัลวอลเล็ต
นอกจากนี้ ในเดือน ส.ค.ยังเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังอยู่ในช่วงการประกาศงบการเงินไตรมาส 2/67 ไปจนถึงวันที่ 14 ส.ค.นี้ เป็นวันสุดท้าย โดยประเมินว่า ในช่วงดังกล่าว จะมีแรงเก็งกำไรในหุ้นที่ผลการดำเนินงานช่วงดังกล่าว มีแนวโน้มออกมาแข็งแกร่ง
ทรีนีตี้ ให้กรอบหุ้นไทย ส.ค. 1,270 - 1,370 จุด เชียร์ลงทุน 4 กลุ่มหุ้น
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เดือนส.ค. ว่า มองกรอบการแกว่งตัวของดัชนี SET จะกว้างขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดือนกรกฎาคม ส่วนหนึ่งจากปัจจัยการเมืองภายในประเทศที่อาจจะเข้ามากระทบกับภาพตลาดมากขึ้น ทั้งนี้ประเมินแนวรับของดัชนี ที่ 1,300 จุดและ 1,270 จุดตามลำดับ ส่วนแนวต้านประเมินที่ 1,340 จุด และ 1,370 จุดตามลำดับ
สำหรับผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ออกมาล่าสุดนั้น ถือว่ามีทิศทาง Dovish พอสมควร และน่าจะทำให้การลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนมีความเป็นไปได้สูงมากแล้ว ซึ่งถึงแม้จะเป็นปัจจัยที่ตลาด Price in ไปแล้ว 100% แต่มองว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของสภาพคล่องโลกได้ อาทิเช่น เม็ดเงินที่คงค้างอยู่ในบัญชี FCD มีโอกาสไหลออกย้อนกลับมาเข้าสู่ตลาดทุนไทยมากขึ้น
นอกจากนั้น ยังรวมไปถึงท่าทีของธนาคารกลางในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (รวมถึงธปท.) ที่น่าจะเริ่มหันมาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของตนเองลงได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 เช่นกัน ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาดังกล่าวได้ไม่ยาก
กลยุทธ์ในการเลือกลงทุนในเดือนสิงหาคม แนะนำกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจดังนี้
1. กลุ่มหุ้นโรงกลั่นที่ Valuation ลงมาต่ำมาก และเตรียมผ่านพ้นจุดต่ำสุดของ Earnings ในช่วงไตรมาส 2 ได้แก่ TOP, BCP, SPRC
2. กลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้าที่ราคาหุ้นรับข่าวการตรึงค่า Ft ไปแล้ว และได้ Sentiment เชิงบวกจากการปรับลงของ Bond yield ได้แก่ GULF, GPSC, BGRIM
3. กลุ่มส่งออกที่มียอดการส่งออกในเดือนล่าสุดอยู่ในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง ได้แก่ STA, NER, TEGH, COCOCO, AAI, ITC, TU, GFPT, CPF, KCE
4. กลุ่มหุ้นโรงพยาบาลที่มี Low beta เหมาะสำหรับการ Hedging ปัจจัยการเมืองในประเทศ และยังเตรียมเข้าสู่ช่วง High season ในไตรมาส 3 ได้แก่ BDMS, BH, BCH, CHG