คณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการ ตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ TESG แล้ว หลังจากนักลงทุนรอคอยกันมาหลายสัปดาห์ และส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดความคึกคัก รับข่าวดีทันที
ดัชนีหุ้นเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ดีดตัวแรง 12.77 จุด ขึ้นมาปิดที่ 1,320.86 จุด มูลค่าซื้อขายกว่า 4.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นบรรยากาศการซื้อขายหุ้นที่สดใส เพราะนักลงทุนมีความมั่นใจว่า กองทุน TESG จะช่วยกระตุ้นตลาด
หลักเกณฑ์กองทุน TESG จะต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 ปี โดยได้รับสิทธินำเงินลงทุนลดหย่อนภาษีปีละไม่เกิน 300,000 บาท หรือไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่พึงประเมินภาษี โดยคาดว่า การจัดตั้งกองทุนจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้
เดิมกองทุน TESG กำหนดเงื่อนไขการลงทุนไม่ต่ำกว่า 8 ปี โดยได้รับสิทธินำเงินลงทุนหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี แต่ปรับเงื่อนไขเพื่อจูงใจการลงทุนมากขึ้น และคาดว่าจะมีเงินลงทุนผ่านเข้ามา TESG ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 6,000 ล้านบาท นับจากเดือนสิงหาคมนี้
รัฐบาล สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พยายามหามาตรการกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น และเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา แต่ยังไม่มีมาตรการใดที่ปลุกหุ้นให้ฟื้นได้
จนมีเสียงเรียกร้องให้รื้อฟื้นกองทุนหุ้นระยะยาว หรือ LTF กลับเข้ามา แต่รัฐบาลเลือกที่จะปรับหลักเกณฑ์กองทุน TESG ที่มีอยู่แล้วมากกว่า ซึ่งเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่ปรับใหม่ไม่ได้แตกต่างจาก LTF แต่อย่างใด
และแม้กองทุนยังไม่ได้จัดตั้ง ส่วนเงินที่คาดว่าจะไหลเข้ามาประมาณ 30,000 ล้านบาทก็ยังไม่มี แต่ราคาหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่ในเป้าหมายลงทุนของ TESG เริ่มขยับปรับตัวขึ้นล่วงหน้าแล้ว
ตลาดหุ้นฟุบหนักต่อเนื่องหลายปีแล้ว สาเหตุหลักเกิดจากนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้น โดยปีนี้ขายหุ้นแล้ว 118,783 ล้านบาท ขณะที่แรงซื้อในประเทศอ่อนแอ นอกจากนั้นยังมีการโจมตีจากต่างชาติ โดยการขาย SHORT SELL หรือการยืมหุ้นมาขาย ซ้ำเติมตลาดหุ้นให้ทรุดหนัก
แต่หลังจาก ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ออกมาตรการควบคุมการ SHORT SELL ที่เข้มงวด และกำกับการซื้อขายผ่านโปรแกรมการซื้อขาย หรือ ROBOT TRADE อย่างเข้มข้น
ธุรกรรม SHORT SELL และมูลค่าซื้อขายผ่าน ROBOT จึงลดลง ขณะที่ตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่ต้องสะดุดลงอีก เพราะคดีการกล่าวโทษ นายสมโภชน์ อาหุนัย อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ในกรณีทุจริตเงิน 3,465 ล้านบาท ทำให้นักลงทุนตื่นตระหนก
ตลาดหุ้นถูกผลกระทบโดยตรง ดัชนีทรุดฮวบหลายวัน ก่อนจะเริ่มตั้งหลักใหม่เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และได้แรงกระตุ้นจากการจัดตั้งกองทุน TESG ทำให้ดัชนีพุ่งขึ้น โดยนักลงทุนคาดหวังว่าเป้าหมาย 1,350 จุด อาจได้เห็นในระยะเวลาอันใกล้
อย่างไรก็ตาม กองทุน TESG เป็นเพียงปัจจัยกระตุ้นตลาดได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยจะช่วยถ่วงดุลการเทขายของต่างชาติ แต่ปัจจัยที่จะทำให้การลงทุนมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างมั่นคงคือ สถานการณ์ทางการเมืองต้องนิ่ง อย่างน้อยคดีสำคัญคือการยุบพรรคการก้าวไกล และคดีนายเศรษฐา ทวีสิน จะถูกถอดถอนหรือไม่ ต้องมีข้อสรุปที่ชัดเจน
และที่สำคัญเศรษฐกิจจะต้องฟื้น แต่ปัจจุบันยังฟุบหนัก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไม่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนต่างชาติ
กองทุน TESG มีฤทธิ์เพียงช่วยประคองตลาดหุ้น ไม่ให้ทรุดหนักหรือเงียบเหงาเฉาเหมือนป่าช้าเท่านั้น
แต่ไม่อาจปลุกหุ้นให้กลับสู่ความคึกคักเต็มที่ หรือผลักดันให้ดัชนีขึ้นไปยืนเหนือ 1,500 จุดในปลายปีนี้ได้ จึงอย่ามองโลกสวยเกินไป
นักวิเคราะห์หุ้นส่วนใหญ่ มองปลายปีนี้ ดัชนีไปได้ไกลแค่ประมาณ 1,450 จุด เท่านั้น และถ้าไปถึงได้นักลงทุนก็ควรพอใจแล้ว