คำถามเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและศักยภาพในการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็หนาหูเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากหนี้สาธารณะของสหรัฐฯทะลุหลัก 35 ล้านล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม และดูเหมือนว่านโยนบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐ จะไม่ช่วยเรียกความเชื่อมั่นขึ้นให้แก่ประชาชนมากนัก
finbold ระบุถึงตัวบ่งชี้ตัวหนึ่ง ที่อาจส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังจะถดถอยได้ก็คือกฎ Sahm ซึ่งส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะถดถอยมากขึ้น เมื่ออัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น 0.5 เปอร์เซ็นต์เหนือจุดต่ำสุดในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
ซึ่งจากข้อมูลในอดีต ทุกครั้งที่ตัวบ่งชี้นี้ข้ามเกณฑ์ 0.5% จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยปัจจุบัน ตัวบ่งชี้นี้อยู่ที่ 0.43% ซึ่งขาดอีกเพียง 0.07 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ตามข้อมูลของ FRED เกณฑ์ดังกล่าวจะตอกย้ำผลกระทบเชิงลบหากอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นถึง 4.2% ซึ่งจะมีการเผยแพร่รายงานการจ้างงานประจำสัปดาห์นี้ในวันที่ 2 สิงหาคม
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์จาก The Real Economy Blog โพสต์ประมาณการณ์ในรายงานเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ว่า คาดการณ์รายงานการจ้างงานเดือนกรกฎาคม 2567 ระบว่าเบื้องต้น สำหรับการจ้างงานเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะเผยแพร่ในวันศุกร์ จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นสุทธิ 200,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานคาดว่าจะลดลงจาก 4.1% เหลือ 4%
ขณะที่ โจเซฟ บรูซูเอลาส นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงจะเพิ่มขึ้น 0.2% ซึ่งแปลว่าเพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งการจ้างงานตามฤดูกาลในภาคการท่องเที่ยวและการบริการ น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในรายงานดังกล่าว
"เดือนกรกฎาคมมักจะนำมาซึ่งความท้าทาย ในการปรับตามฤดูกาลสำหรับสำนักงานสถิติแรงงาน ปีนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เพราะหากการคาดการณ์ไม่ถูกต้อง อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการจ้างงานจะดำเนินไปเร็วขึ้นในประมาณการโดยรวม" นักวิเคราะห์กล่าว
อย่างไรก็ตามทิศทางของอัตราการว่างงานซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากมีคนเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น เนื่องจากได้รับแรงดึงดูดจากค่าจ้างที่สูงขึ้น
ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเฟดควรลดอัตราดอกเบี้ยโดยเร็วที่สุด เพื่อบรรเทาภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ขณะที่วอลล์สตรีทคาดหวังว่านายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยฐานในการประชุมเฟดในเดือนกันยายน โดยผู้เชี่ยวชาญบางคนเตือนว่าอาจสายเกินไปที่จะป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว
ขณะที่โกลด์แมนแซคส์ และยูบีเอสคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน แต่ไม่เร็วเท่าการประชุมของเฟดในเดือนกรกฎาคม
ขณะที่ บิล ดัดลีย์ อดีตประธานเฟดนิวยอร์ก ซึ่งตอนแรกสนับสนุนให้ปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเป็นเวลานานขึ้น ก็ได้เรียกร้องให้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยทันที โดยเขาโต้แย้งว่า ภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป เนื่องจากผู้บริโภคชะลอตัว การยึดรถเพิ่มขึ้น และการผิดนัดชำระเงินกู้
“ข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นมุมมองผมจึงเปลี่ยนไปจากความเป็นจริง เฟดควรลดอัตราดอกเบี้ย โดยควรเกิดขึ้นในการประชุมกำหนดนโยบายสัปดาห์หน้า” ดัดลีย์ ระบุเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม
เขาเชื่อว่าเฟดควรดำเนินการอย่างรวดเร็ว แม้จะมีความกังขาเกี่ยวกับความรุนแรงของการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นก็ตาม นอกจากนี้ ดัดลีย์เน้นย้ำว่าความล่าช้าในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย แม้ว่าอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม