VanEck คาดการณ์ว่า Bitcoin อาจพุ่งแตะ 2.9 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2593 หากโลกกำหนดเป็น "สกุลเงินสากลพื้นฐาน" โดยการคาดการณ์ของบริษัทประเมินว่า Bitcoin จะแตะระดับต่ำสุดที่ 130,314 ดอลลาร์ ในกรณีขาลง ในขณะที่กรณีขาขึ้น ราคาจะพุ่งสูงถึง 52.4 ล้านดอลลาร์ต่อเหรียญภายในปี 2593
VanEck ได้สรุปสถานการณ์อนาคตของราคาบิทคอยน์ที่ร้อนแรงในรายงานการวิจัย ล่าสุดอาจพุ่งไปสูงถึง 2.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ ต่อเหรียญ ภายในปี 2593 ภายใต้เกณฑ์ที่ว่าโลกกำหนดบิทคอยน์ให้เป็น "สกุลเงินสากลพื้นฐาน"
จากรายงานที่เขียนโดย แมทธิว ซิเกล หัวหน้าฝ่ายสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัท และ แพทริก บุช นักวิเคราะห์การลงทุนอาวุโส ระบุว่า การประเมินมูลค่าที่คาดการณ์ไว้ขึ้นอยู่กับการนำบิทคอยน์ มาใช้อย่างแพร่หลายในฐานะสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนระดับโลกและสินทรัพย์สำรอง ซึ่งอาจก่อให้เกิดการปฏิวัติระบบการเงินระหว่างประเทศได้
บิทคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัลคือ 10% ของการค้าโลก
การคาดการณ์เบื้องต้นของบริษัทคาดว่าราคา Bitcoin อาจสูงถึง 2.9 ล้านดอลลาร์ต่อเหรียญ ในขณะเดียวกัน คาดว่า BTC จะแตะระดับต่ำสุดที่ 130,314 ดอลลาร์ ในกรณีขาลง ในขณะที่กรณีขาขึ้น ราคาจะพุ่งสูงถึง 52.4 ล้านดอลลาร์ต่อเหรียญ
สถานการณ์พื้นฐานของ VanEck ระบุว่า Bitcoin จะสามารถรองรับการค้าระหว่างประเทศของโลกได้ 10% และการค้าภายในประเทศ 5% ภายในปี 2593 บริษัทคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะถือสินทรัพย์ 2.5% ในรูปแบบ BTC อีกด้วย
สถานการณ์นี้ ซึ่งอิงตามการคาดการณ์การเติบโตทั่วโลก และความเร็วของเงิน แสดงให้เห็นว่าราคาบิทคอยน์อาจสูงถึง 2.9 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 61 ล้านล้านดอลลาร์
รายงานดังกล่าวเน้นย้ำว่าปัญหาด้านความสามารถในการปรับขนาดของบิทคอยน์ ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการที่จะนำมาใช้โดยตลอด และหากมีการแก้ไขด้วยโซลูชัน Bitcoin Layer-2 (L2) ที่เกิดขึ้นใหม่ โซลูชันเหล่านี้จะช่วยให้บิทคอยน์ เพื่อรองรับระบบการเงินระดับโลกที่ตอบสนองความต้องการของโลกกำลังพัฒนาได้ดีขึ้น
"บิทคอยน์" จุดเปลี่ยนการปฏิรูประบบการเงิน
การวิเคราะห์ของ VanEck เจาะลึกถึงแนวโน้มปัจจุบันในระบบการเงินระหว่างประเทศ (IMS) โดยคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงจากสกุลเงินสำรองแบบดั้งเดิม เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร ปอนด์อังกฤษ และเยนญี่ปุ่น
รายงานระบุว่า การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นนั้นเกิดจากสัดส่วน GDP ทั่วโลกที่ลดลงของผู้นำเศรษฐกิจเหล่านี้ และความเชื่อมั่นที่ลดลงในสกุลเงินของพวกเขาอันเนื่องมาจากการใช้จ่ายเกินดุลและการตัดสินใจทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยในรายงานยังระบุเพิ่มเติมว่าธุรกิจและผู้บริโภคทั่วโลกน่าจะตระหนักถึงข้อบกพร่องที่แพร่หลายของสกุลเงินเฟียตทางเลือก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อและค่าเงินที่ลดลงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้รายงานระบุว่าสิ่งนี้จะเน้นย้ำถึงศักยภาพของบิทคอยน์ในฐานะสื่อกลางการแลกเปลี่ยนที่เป็นกลาง ซึ่งมีสิทธิในทรัพย์สินที่ไม่เปลี่ยนแปลงและมีนโยบายการเงินที่คาดเดาได้
VanEck ได้สรุปประเด็นสำคัญหลายประการที่บิทคอยน์สามารถเปลี่ยนแปลงระบบ IMS ได้ โดยระบุว่านโยบายการเงินที่ไม่เปลี่ยนแปลง และลักษณะการกระจายอำนาจของบิทคอยน์อาจทำให้บิทคอยน์เป็นสกุลเงินสำรองที่เชื่อถือได้ เช่นเดียวกับทองคำ แต่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากกว่า
ขณะที่โซลูชัน L2 เช่น Lightning Network และไซด์ของเชนต่างๆ พร้อมที่จะขยายขีดความสามารถในการทำธุรกรรมของ บิทคอยน์ ทำให้เหมาะสำหรับการค้าระหว่างประเทศขนาดใหญ่
ความท้าทายของเงินคริปโต
แม้จะมีมุมมองในแง่ดี แต่ VanEck ก็ยอมรับว่ามีความเสี่ยงหลายประการที่อาจขัดขวางการเติบโตของบิทคอยน์และความกังวลหลักประการหนึ่งคือความต้องการพลังงาน ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในการขุดบิทคอยน์ ในอนาคต ซึ่งอาจต้องใช้นวัตกรรมใหม่ในการออกแบบชิปและการผลิตพลังงาน
นอกจากนี้ เมื่ออัตราเงินเฟ้อของบิทคอยน์ลดลง ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมจะต้องกลายมาเป็นแหล่งรายได้หลักของนักขุดและช่วยให้พวกเขาสามารถดำเนินงานได้อย่างยั่งยืน บริษัทยังเน้นย้ำด้วยว่าสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่อาจเกิดขึ้นนั้นอาจเป็นภัยคุกคามต่อบิทคอยน์ในด้านการแข่งขัน
ยิ่งไปกว่านั้น ความพยายามร่วมกันของรัฐบาลทั่วโลกในการห้ามหรือควบคุมบิทคอยน์อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการนำไปใช้และมูลค่าของมัน ขึ้นอยู่กับแนวทางของรัฐบาลแต่ละประเทศ
การวิเคราะห์อย่างละเอียดของ VanEck นำเสนอวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับอนาคตของ บิทคอยน์โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพในการเป็นเสาหลักของระบบการเงินโลก แม้ว่าจะยังมีความท้าทายที่สำคัญอยู่ แต่การวิจัยเน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงเปลี่ยนแปลงที่บิทคอยน์และโซลูชัน Layer-2 อาจมีต่อการค้าและการเงินระหว่างประเทศภายในปี 2593