บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศนำอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘AAA(tha)’ อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1+(tha)’ และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันที่ ‘AAA(tha)’ ของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS และบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด หรือ AWN เข้าสู่เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ (Rating Watch Negative) หลังจากที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 ถึงแผนที่จะควบรวมกิจการกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ AIS คือบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และจัดตั้งบริษัทใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีผู้เกี่ยวข้องหลักคือ อินทัช กัลฟ์ และบริษัท สิงคโปร์ เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด หรือ Singtel จะเป็นผู้เสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ AIS (Tender offer) ก่อนการควบรวมกิจการ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวต้องผ่านการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้ของบริษัทที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ สะท้อนถึงความเสี่ยงที่บริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการอาจมีอำนาจควบคุม AIS หลังจากการเสนอซื้อหุ้น โดยสถานะทางเครดิตของบริษัทแม่ที่มีอำนาจควบคุมที่อาจอ่อนแอกว่า AIS อย่างมีนัยสำคัญ อาจส่งผลให้อันดับเครดิตของ AIS ถูกปรับลดลงได้หลายระดับ ตามหลักเกณฑ์การจัดอันดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทลูกของฟิทช์ (Parents and Subsidiary Linkage Rating Criteria) ปัจจุบัน อันดับเครดิตของ AIS สะท้อนถึงสถานะทางเครดิตโดยลำพังของบริษัท (Standalone Credit Profile) ซึ่งฟิทช์คาดว่าการจะมีการนำอันดับเครดิตออกจากเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบ เมื่อการเสนอซื้อหุ้นเสร็จสิ้นและโครงสร้างการถือหุ้นของ AIS มีความชัดเจน ซึ่งอาจใช้เวลานานกว่า 6 เดือน
โดยฟิทช์เชื่อว่าบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการจะมีสถานะทางเครดิตที่อ่อนแอกว่าสถานะเครดิตโดยลำพังของ AIS และคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA net leverage) ของบริษัทใหม่ (ซึ่งรวมงบการเงินของ AIS และหนี้ที่เกิดขึ้นจากการเสนอซื้อหุ้น) จะอยู่ที่ประมาณ 4-5 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนหนี้สินของ AIS ณ ปัจจุบันที่ระดับประมาณ 1.5 เท่า อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การรวมอินทัชและ AIS เข้ากับบริษัทใหม่จะทำให้มีการกระจายตัวที่ดีขึ้น ของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ครอบคลุมทั้งธุรกิจโทรคมนาคมและพลังงาน
ขณะที่สถานะทางเครดิตโดยลำพังของ AIS ยังคงสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยมีส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการประมาณร้อยละ 48 การเข้าซื้อกิจการของบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการบรอดแบนด์รายใหญ่อันดับ 2 ของประเทศไทย ได้สนับสนุนการกระจายตัวของแหล่งที่มาของรายได้ของ AIS ไปสู่บริการที่ไม่ใช่โทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำให้สถานะทางการตลาดของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นและสนับสนุนการเติบโตของรายได้และความมั่นคงของกำไรในระยะกลาง ฟิทช์คาดว่า AIS จะรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ประมาณ 1.5 เท่าในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า (2566: 1.5 เท่า)
นอกจากนี้ ฟิทช์เชื่อว่าอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่จะได้รับประโยชน์จากการแข่งขันด้านราคาที่เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้นในประเทศไทย ซึ่งจะสนับสนุนรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ และการเติบโตของรายได้ของ AIS ทั้งนี้ อุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ของไทยเริ่มมีสัญญาณการเติบโตที่แข็งแกร่งขึ้นจากการแข่งขันที่ปรับตัวดีขึ้นหลังจากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เสร็จสิ้นในปี 2566 ผู้ประกอบการได้มุ่งเน้นไปที่การทำกำไรมากกว่าการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และค่อยๆ ปรับลดการเสนอแพกเกจข้อมูลแบบไม่จำกัด
ทั้งนี้ ฟิทช์อาจยกเลิกเครดิตพินิจแนวโน้มเป็นลบและประกาศคงอันดับเครดิต หากการควบกิจการไม่ถูกดำเนินต่อ การเสนอซื้อหุ้นถูกยกเลิก หรือหากบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการมิได้มีอำนาจควบคุม AIS
ปัจจัยลบ ในทางกลับกันฟิทช์อาจปรับลดอันดับเครดิตของ AIS หากการเสนอซื้อหุ้นส่งผลให้บริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการมีอำนาจควบคุม AIS โดยอันดับเครดิตของ AIS จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาสถานะทางเครดิตของกลุ่มบริษัทแม่ และกลไกการป้องกันทางกฎหมาย (Legal Ring-fencing) หากมี รวมถึงพิจารณาเรื่องความสามารถในการเข้าถึงและการควบคุม (Access and Control) ของบริษัทแม่ ต่อ AIS ภายใต้หลักเกณฑ์การจัดอันดับความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทลูก