นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (19 ก.ค.) ที่ระดับ 36.21 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงหนักจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 35.97 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.10-36.30 บาท/ดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในช่วง 35.93-36.21 บาทต่อดอลลาร์) ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดการเงินโดยรวม นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการอ่อนค่าของเงินยูโร (EUR) ที่ถูกกดดันจากทั้งการปรับตัวลงต่อเนื่องของตลาดหุ้นยุโรปและมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยต่อเนื่องได้ในการประชุมเดือนกันยายน และการประชุมเดือนธันวาคม แม้ว่าประธาน ECB จะไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนนักต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม ECB คืนที่ผ่านมาก็ตาม
และนอกเหนือจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ค่าเงินบาทยังถูกกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวลดลงกว่า -30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นบ้างของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านแรก 36.00-36.10 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้ได้
สำหรับวันนี้ ในฝั่งยุโรปผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษจากรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมิถุนายน (ทยอยรับรู้ในช่วง 13.00 น. ตามเวลาประเทศไทย)
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดว่าจะมีการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้อย่างไรบ้าง (ทยอยรับรู้ในช่วง 21.40 น. ตามเวลาประเทศไทย)
และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะติดตามอย่างใกล้ชิด และเป็นปัจจัยที่อาจช่วยพลิกฟื้นบรรยากาศในตลาดการเงินช่วงนี้ได้ หากรายงานผลประกอบการออกมาสดใสและดีกว่าคาด
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินบาทที่ผันผวนอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านที่เราประเมินไว้ในคืนที่ผ่านมานั้น สะท้อนว่า โมเมนตัมฝั่งอ่อนค่าได้กลับมาอีกครั้ง และเงินบาทก็อาจเกิดรูปแบบการกลับตัวจากแข็งค่าเป็นอ่อนค่าลงในระยะสั้นได้ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วง 20-21 พฤษภาคม ซึ่งหากบรรยากาศในตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) เป็นไปได้ว่า เงินบาทอาจถูกกดดันจากทั้งการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และความเสี่ยงที่ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจไหลออกจากตลาดทุนไทย โดยเฉพาะตลาดหุ้นได้บ้าง นอกจากนี้ เราประเมินว่าในระยะสั้น ราคาทองคำอาจเข้าสู่ช่วงการพักฐาน (Correction) จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งภาพดังกล่าวอาจยิ่งกดดันเงินบาทผ่านโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้ ทั้งนี้ แนวต้านเงินบาทถัดไปจากโซนที่เราประเมินไว้จะอยู่แถว 36.25-36.35 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราคาดว่าการอ่อนค่าของเงินบาทอาจชะลอลงบ้างในโซนดังกล่าว แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ทะลุโซนดังกล่าว มีโอกาสผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านแถวเส้นค่าเฉลี่ย 100 วัน ในช่วง 36.40-36.50 บาทต่อดอลลาร์ได้เช่นกัน ส่วนโซนแนวรับของเงินบาทก็อาจขยับขึ้นมาอยู่ในช่วง 36.05-36.10 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม