xs
xsm
sm
md
lg

Merkle Capital จัดสัมมนา MERKLE MAGNIFICENCE ดึง 3 สุดยอดนักวิเคราะห์แจกทริกลงทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



Merkle Capital จัดงานสัมมนา MERKLE MAGNIFICENCE ตอน The Three Musketeers เจาะลึกสู่โลกของการลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญในวงการการเงินที่จะมาแบ่งปันมุมมองและแจกทริกกลยุทธ์การลงทุนที่สำคัญทันเทรนในปัจจุบัน

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด ให้ข้อมูลในหัวข้อ “Global Economic Outlook” ว่า การลงทุนต่อจากนี้ไปจะไม่เหมือน 2 ปีที่ผ่านมา เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ ราคาสินทรัพย์เสี่ยงมักจะสูงขึ้น ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมา หลายๆ Indicator มีการปรับลงมาเทียบเท่าภาวะปกติ ปัจจุบันหากตัวเลขทางเศรษฐกิจแย่ไปกว่านี้ สินทรัพย์เสี่ยงจะไม่ขึ้นแล้ว ในช่วงโควิดภาพรวมตลาดอ่อนแอทั่วโลก ฮันนีมูนพีเรียดของตลาดหุ้นโลกใกล้จบรอบ ภาวะพันธบัตรไม่ได้เอื้อตลาดหุ้นเหมือนเดิม 

ตลาดหุ้นสหรัฐคิดเป็น 70% ของตลาดหุ้นโลก มีหุ้นตัวท็อป 7 ตัว ที่มีการเปลี่ยนถ่ายหุ้นจาก Growth Stock มาเป็น Value Stock อย่างมีนัยสำคัญ โดยในช่วงไตรมาส 3/67 มี 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 

1. ผลประกอบการของกลุ่ม Tech ถ้าออกมาดีหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ถ้าออกมาแย่คาดว่าหุ้นจะปรับตัวลงประมาณ 5-10% จาก Target Price 

2. หุ้น Tech 3 จาก 7 ตัวจะมีเหตุการณ์สำคัญในไตรมาส 3 คือ Nvidia จะเปิดตัว Blackwell, Apple จะเปิดตัว iOS 18 ใหม่และ iPhone 16 และ Microsoft จะเปิดตัวซอฟต์แวร์ใหม่พร้อมกัน ถ้า 3 ตัวนี้ไม่เป็นไปตามที่คาด จะสามารถพาตลาดหุ้นโลกลงได้ ดังนั้นให้ระวังการปรับฐานของหุ้น Tech โดยในช่วง 6 ไตรมาสที่ผ่านมา ภาวะ Value pay มีผลงานที่ดีขึ้น อาทิ กลุ่ม Real Estate Finance และ Utility นอกจากนี้ ให้ระมัดระวังการเปลี่ยนถ่ายของภาวะพันธบัตร ที่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนถ่ายของตลาดหุ้น ระมัดระวังความผันผวน คาดว่าในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นไป การลงทุนในตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะเอื้อเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการปรับฐานของหุ้นสหรัฐ แน่นอนว่าจะปรับตัวลงหมด และช่วงต่อไปจะไหลมาทาง Value สำหรับประเทศไทยนั้นหากการเมืองคลี่คลายมองว่าจะเอื้อประโยชน์ให้ตลาด Perform ขึ้นมา

นายภาดล วรรณรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด
นายภาดล วรรณรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลในหัวข้อ “Evaluating Sector Trends” ว่าแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยเริ่มจะมีเสน่ห์ หลังจากหุ้นกลุ่ม Tech เริ่มหมดเสน่ห์ เชื่อว่าเม็ดเงินจะหมุนมาที่ตลาดหุ้นไทยมากขึ้น นอกจากนี้การที่มีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เข้ามาช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดหุ้นไทยก็จะส่งผลนี้ยิ่งขึ้นเช่นกัน ที่ผ่านมากลุ่มหุ้นไทยที่น่าสนใจ จะเป็นหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ส่งออกอาหาร และ Medical tourism ซึ่งมีผลงานที่ดีอยู่แล้ว แต่อีก 2 กลุ่มที่คาดว่าจะมีผลงานที่ดีต่อจากนี้ ได้แก่ กลุ่มศัลยกรรมความงาม โดยปัจจัยคือ Social Media ทำให้ความต้องการศัลยกรรมทั่วโลกเติบโต ผู้สูงอายุจะมากขึ้นทั่วโลก ภาครัฐสนับสนุนฟรีวีซ่า และภาคบริการของไทยอยู่ในระดับที่ไม่แพง ส่งผลให้กลุ่มศัลยกรรมในประเทศไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก นอกจากนี้ขนาดตลาดจะเพิ่มขึ้น จากโครงสร้างประชากรไทย โดยกลุ่มลูกค้า 25 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนประมาณ 60% ในปี 2050 นอกจากจะโตจากความต้องการที่มากขึ้นแล้วยังคาดว่าจะโตจากขนาดอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้สถานการณ์โควิดผลักดันอุตสาหกรรมเสริมความงาม หลังจากกลับมาใช้ชีวิตปกติทุกคนก็หันดูแลตัวเองมากขึ้น ปัจจัยอุตสาหกรรมความงามในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 64,000 ล้านบาท และเชื่อว่ายังสามารถโตได้อีกเยอะมาก โดยคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโต 10% ต่อปีจนถึงปี 2030

นายพีระสิทธิ์ จิวะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด
อีกกลุ่มหนึ่งคือ Personal Computer รูปแบบใหม่ที่มีการผสมผสานเทคโนโลยี AI ที่เรียกกันว่า "AI PCs" ของผู้ประกอบการอิเล็กทรอนิกส์ไทย ปัจจุบันนักลงทุนทั่วโลกมุ่งเป้าไปที่ AI ซึ่งประเทศไทยจะได้ประโยชน์ในส่วนของ Customer Electronics ปัจจุบันเป็นยุคของ Big Data ช่วงแรกของ AI การใช้งานคือส่งข้อมูลไปที่ส่วนกลางหรือผ่านคลาวด์ ต่อไปจะเกิด AI PCs ที่มีระบบประมวลผลเข้ามาด้วยซึ่งจะเป็นเทรนด์ใหญ่คาดว่ายอดขาย AI PCs จะเติบโตจากปัจจุบันที่เป็นจุดเริ่มต้น 19% ของ PCs ทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ และจะขึ้นไปถึง 60% ในปี 2027 ซึ่งจะเอื้อประโยชน์แก่ Supplier ในประเทศไทยเป็นอย่างมาก

ขณะที่นายจรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัท หลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ให้ข้อมูลในหัวข้อ “Premier Stocks Insights” ว่า ช่วงปีที่ผ่านมาหลายคนมองว่าตลาดหุ้นไทยแย่ลงทุนไม่ได้ แต่หากมีความเข้าใจ หุ้นไทยก็สามารถปลอดภัยมากขึ้น Mind set การลงทุนในตลาดหุ้นไทย คือ “โลกการลงทุนไม่ใช่หนังฮอลลีวูด” ไม่ได้มีแค่ผู้ร้ายและพระเอก ทุกคนล้วนอยากเป็นพระเอกทั้งนั้น แต่บางครั้งสิ่งแวดล้อมยังไม่พร้อมให้โต

นายมานะ คานิโยว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านพัฒนาธุรกิจและพาณิชย์ บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด
โดยลักษณะของแต่ละตลาด คือ ตลาดหุ้นพระเอก จะมีลักษณะเป็นขาขึ้น กลยุทธ์ที่ง่ายที่สุดคือ Buy และ Hold แต่เราอยู่ในตลาดที่อยากจะเป็นพระเอกแต่สิ่งแวดล้อมไม่พร้อม ลักษณะจะเป็นไม่ขึ้นก็ลง มีความผันผวน ซึ่งการจะลงทุนในตลาดนี้ได้ต้องเข้าใจ Cycle ของตลาด อย่างไรก็ตาม มองว่า ตลาด Local ยังเป็นทางเลือกในระยะยาว ตัวอย่างเช่น ประเทศ A ได้ประโยชน์จากการมีหุ้นที่ดี เกิดเงื่อนไขการลงทุน Offshore โดยประชาชน A มีความเข้าใจในธุรกิจของบริษัทในประเทศ A มากกว่า ส่งผลให้เกิดความไว้วางใจในระยะยาว

นอกจากนี้ ควรศึกษาเรียนรู้ที่จะอยู่ในตลาด ซึ่งการเลือกหุ้นในตลาดปัจจุบันมี 2 รูปแบบคือ หุ้นที่ดีแล้วยังดีต่อ (Price – in) โดยดูที่ Market Share, Margin และอัตราการเติบโต และหุ้นที่อยู่ในการเปลี่ยนแปลง (ยังไม่ Price – in) คือ “หุ้นที่ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ” หุ้นที่อยู่นิ่ง ๆ แต่มีโอกาสที่จะเติบโต “หุ้นที่แกงจืดกลายเป็นแกงส้ม” โดยอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และหุ้นขยะจากคนเลวค่อยๆกลายเป็นคนดี

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด
ด้านพีระสิทธิ์ จิวะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยนายมานะ คานิโยว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านพัฒนาธุรกิจและพาณิชย์ บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด และ 3 สุดยอดนักวิเคราะห์ ร่วมเสวนาในหัวข้อ “Navigating Asset Classes & Opportunities” ว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนได้ในโลกปัจจุบัน ได้แก่ หุ้น ตราสารหนี้ น้ำมัน ทองคำ และการลงทุนใหม่คือ “สินทรัพย์ดิจิทัล” โดยมีตัวหลักคือ Cryptocurrency, Smart contract และ Stablecoin ในอดีตหลายคนมองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเรื่องไกลตัว จับต้องไม่ได้ ไม่มีมูลค่า หรือเป็นสแกม (Scam) ปัจจุบันมุมมองได้เปลี่ยนไปเยอะมาก โดย Market cap ของ Bitcoin ปัจจุบันอยู่อันดับ 10 ของสินทรัพย์ทั่วโลกที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุด ซึ่งมองว่ามีความเชื่อมโยงบางอย่างที่สามารถกับนำมาใช้กับการลงทุนในโลกเก่าได้ หรือที่เรียกว่า Tokenization

สำหรับสินทรัพย์ที่น่าจับตามองและจะได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอีกประมาณ 4 เดือนข้างหน้า มองว่า “ทองคำน่าจะ Perform ดี” หลังจากนั้นมองว่าจะเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีดีมานด์จาก 2 เรื่อง คือกฎเกณฑ์ และการประกาศว่าในช่วง 30 ปีข้างหน้าจะเกิด “Wealth Transfer” ประมาณ 90 ล้านเหรียญสหรัฐไปที่ประกันและคริปโทฯ นอกจากนี้ ตราสารหนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนที่ดีเพราะเวลาดอกเบี้ยลงพันธบัตรจะขึ้น กลุ่มหุ้นที่จะเด่นมากในช่วงก่อนเลือกตั้ง มองว่าเป็นหุ้นโลจิสติกส์ และหลังการเลือกตั้ง หุ้นไทยก็จะมีเสน่ห์มากขึ้น

นายจรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ หัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัท หลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด
ด้านปัจจัยที่ใช้ในการลงทุน ในส่วนของภาพใหญ่จะดูที่ GDP ของประเทศเป็นหลัก ในส่วนของสินทรัพย์ดิจิทัลจะดูที่ MVRV และภาพรวมการลงทุนโลก ในมุมของตลาดหุ้นไทยดูที่ Gross Profit Margin, ราคาหุ้น, Dollar Index, Bond yield และ Trade War ทั้งนี้ ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ต้องมีการจัดสรรกระจายความเสี่ยงปรับรูปแบบการลงทุนหรือให้ผู้เชี่ยวชาญลงทุน

สำหรับนักลงทุนและประชาชนที่สนใจ สามารถรับชม คลิปวิดีโอย้อนหลังได้ที่นี่

**บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนแต่อย่างใด การลงทุนมีความเสี่ยง ควรวิเคราะห์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน



กำลังโหลดความคิดเห็น