บมจ.เอสอีไอ เมดิคัล หรือ SEI ประกาศมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่าย ให้บริการทางด้านเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล พร้อมให้บริการที่ครบวงจรสำหรับลูกค้าทุกมิติ ผ่านการขับเคลื่อน 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกช่วงเวลาของชีวิตแบบครบวงจร สู่การเป็นหุ้นเมกะเทรนด์ทางการแพทย์ ตอกย้ำความเชี่ยวชาญการเป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์กว่า 30 ปี และฐานะทางการเงินแกร่ง เร่งเดินเกมรุกเสนอขาย IPO ไม่เกิน 50 ล้านหุ้น เตรียมเทรดตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในไตรมาส 3/2567 นี้
นายกานต์ ปุญญเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสอีไอ เมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ SEI เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายและให้บริการทางด้านเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล พร้อมการให้บริการที่ครบวงจรสำหรับลูกค้าทุกมิติ ดังนั้นการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอครั้งนี้ เป็นการสอดรับกับเป้าหมายการต่อยอดและขยายการเติบโตสู่ความยั่งยืนภายใต้การยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันในการสร้างโอกาสทางธุรกิจ ด้านการให้บริการเครื่องมือและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ครบวงจรในทุกมิติ ผ่าน 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกช่วงเวลาของชีวิต ประกอบด้วย
1.กลุ่มสินค้าสำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิด (Neonatal Care) ซึ่งเป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ดูแลทารกแรกเกิดปกติ และทารกที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะวิกฤตในระยะแรกหลังคลอด
2.กลุ่มสินค้าด้านกล้องส่องตรวจ (Endoscope) เป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในห้องส่องกล้องสำหรับการตรวจทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจและโสตศอนาสิก 3.กลุ่มสินค้าด้านการผ่าตัด (Surgery) เป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในห้องผ่าตัด 4.กลุ่มสินค้าอุปกรณ์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ (Laboratory) เป็นกลุ่มเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์ วัดอนุภาค เก็บรักษาตัวอย่าง และบ่มเพาะเชื้อเพื่อการทำวิจัย และ 5.กลุ่มสินค้าด้านความงาม (Aesthetic) เป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับเสริมความงามทางร่างกาย
ปัจจุบัน “SEI” ได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ ภายใต้ตราสินค้าของผู้ผลิตทั้งหมด 17 แบรนด์ จาก 11 ประเทศ โดยแบ่งเป็นสัดส่วนกลุ่มลูกค้าภาครัฐบาล 69.5% เช่น โรงพยาบาลรัฐ หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษาแพทย์ และอื่นๆ ส่วนอีก 30.5% เป็นภาคเอกชน เช่น โรงพยาบาลเอกชน คลินิก ลูกค้ารายบุคคล และอื่นๆ ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวยังคงมีดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ในปี 2567 ที่คาดว่าจะมีการขยายตัวต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติและนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่จะเข้ามาใช้บริการด้านสุขภาพในประเทศไทย รวมถึงแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแลสุขภาพ เช่น ความงาม ศูนย์แพทย์เฉพาะทาง และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลเชิงบวกต่อภาพรวม SEI
อย่างไรก็ตาม ด้วยจุดเด่นความเชี่ยวชาญการเป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ที่ยาวนานกว่า 30 ปี รวมถึงการให้บริการติดตั้ง ซ่อมบำรุง ตลอดจนการให้บริการหลังการขาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ทำให้ SEI มีฐานลูกค้าทั่วประเทศ ส่งผลให้ SEI ได้รับความไว้วางใจในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิต และได้รับการต่ออายุสัญญาแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่าย (Distributor Agreement) จากผู้ผลิตอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี ดังนั้นด้วยความสามารถและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของบริษัท ประกอบกับความเชื่อมั่นจากผู้ผลิต และลูกค้า เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ตอกย้ำถึงการเป็นหนึ่งในผู้จำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำของประเทศไทย
ประกอบกับผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) บริษัทมีรายได้รวม 374.00 ล้านบาท 320.55 ล้านบาท และ 393.57 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีกำไรสุทธิปี 2564-2566 บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 16.21 ล้านบาท 17.86 ล้านบาท และ 21.87 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.28% 5.54% และ 5.55% ของรายได้รวม ตามลำดับ สะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท
“SEI เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 29.41% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจอุปโภคบริโภค ภายในไตรมาส 3/2567 นี้ ปัจจุบัน “SEI” มีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 60 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 120 ล้านหุ้น มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษี”